10.การแบ่งยุคประวัติศาสตร์ไทย
การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ เป็นการแบ่งช่วงเวลา โดยกำหนดให้เชื่อมโยงกับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์
โดยประวัติศาสตร์ไทยมีการแบ่งยุคสมัยคล้ายกับประวัติศาสตร์สากล คือ แบ่งออกเป็นสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ และในแต่ละสมัยก็ได้ถูกแบ่งเป็นยุคสมัยย่อยๆลงไปอีกเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดังนี้
........1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นสมัยที่ยังไม่ปรากฏลายลักษณ์อักษรเพื่อใช้ในการสื่อสาร ดังนั้นการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ยุคนั้นจึงต้องอาศัยหลักฐานเครื่องมือเครื่องใช้และร่องรอยต่างๆที่เหลือทิ้งไว้ สมัยก่อนประวัติศาสตร์นิยมแบ่งช่วงเวลาออกเป็นยุคหินกับยุคโลหะ
................1.1 ยุคหิน คือ ยุคที่มนุษย์รู้จักนำหินมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ แบ่งย่อยออกเป็นยุคต่างๆตามลักษณะของเครื่องมือหิน ได้แก่
........................1.1.1 ยุคหินเก่า มีอายุประมาณ 500,000 - 10,000 ปีมาแล้ว ตัวอย่างแหล่งชุมชนมนุษย์ยุคหินเก่าในดินแดนไทย เช่น ถ้ำพระ จังหวัดกาญจนบุรี บ้านแม่ทะ จังหวัดลำปาง เป็นต้น
........................1.1.2 ยุคหินกลาง มีอายุประมาณ 10,000 - 6,000 ปีมาแล้ว ตัวอย่างแหล่งมนุษย์ยุคหินกลางในดินแดนไทย เช่น ถ้ำไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ถ้ำหมอเขียว จังหวัดกระบี่ เป็นต้น
........................1.1.3 ยุคหินใหม่ มีอายุประมาณ 6,000 - 4,000 ปีมาแล้ว ตัวอย่างแหล่งมนุษย์ยุคหินใหม่ในดินแดนไทย เช่น บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น
................1.2 ยุคโลหะ คือ ยุคที่มนุษย์รู้จักนำโลหะมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ แบ่งตามชนิดของวัสดุเป็น 2 ยุค ได้แก่
........................1.2.1 ยุคสำริด มีอายุประมาณ 4,000 - 2,500 ปีมาแล้ว ตัวอย่างแหล่งมนุษย์ยุคสำริดในดินแดนไทย เช่น บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น
........................1.2.2 ยุคเหล็ก มีอายุประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว ตัวอย่างแหล่งมนุษย์ยุคเหล็กในดินแดนไทย เช่น บ้านดอนตาเพชร จังหวัดกาญจนบุรี บ้านโนนนกทา จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น
........2. สมัยประวัติศาสตร์ สมัยประวัติศาสตร์เป็นสมัยที่ปรากฏหลักฐานลายลักษณ์อักษรที่ใช้ในการสื่อสาร การแบ่งช่วงสมัยประวัติศาสตร์ไทยโดยละเอียดมีดังนี้
................2.1 สมัยก่อนการตั้งอาณาจักรสุโขทัย เช่น อาณาจักรละโว้ (พุทธศตวรรษที่ 12 - 18) อาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11 - 16) เป็นต้น
................2.2 สมัยสุโขทัย เริ่มตั้งแต่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นครองราชย์สมบัติและสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานีเมื่อพ.ศ. 1781 สมัยสุโขทัยเป็นช่วงที่มีการสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทยหลายประการ แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ กำเนิดลายสือไทยหรือตัวหนังสือไทยที่ได้รับการประดิษฐ์ขึ้นโดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
................2.3 สมัยอยุธยา อาณาจักรอยุธยาเป็นราชธานีที่ยาวนานที่สุดถึง 417 ปีตั้งแต่พ.ศ. 1893 - 2310
................2.4 สมัยธนบุรี อาณาจักรธนบุรีมีพระมหากษัตริย์ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในระยะเวลาเพียง 15 ปีตั้งแต่พ.ศ. 2310 - 2325
................2.5 สมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่พ.ศ. 2325 - ปัจจุบัน ซึ่งสามารถแบ่งเป็นสมัยย่อยได้ ดังนี้
........................2.5.1 สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อยู่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 3 ถือเป็นช่วงการฟื้นฟูอาณาจักรในทุกด้านต่อจากสมัยธนบุรี
........................2.5.2 สมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง ยุคปรับปรุงประเทศ อยู่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7 เป็นช่วงที่มีการติดต่อกับต่างชาติและปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยตามแบบตะวันตก ไปจนถึงเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย
........................2.5.3 สมัยประชาธิปไตย นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีรัฐธรรมนูญเป็นกฏหมายสูงสุดในการปกครองประเทศเมื่อปีพ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน
........1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นสมัยที่ยังไม่ปรากฏลายลักษณ์อักษรเพื่อใช้ในการสื่อสาร ดังนั้นการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ยุคนั้นจึงต้องอาศัยหลักฐานเครื่องมือเครื่องใช้และร่องรอยต่างๆที่เหลือทิ้งไว้ สมัยก่อนประวัติศาสตร์นิยมแบ่งช่วงเวลาออกเป็นยุคหินกับยุคโลหะ
................1.1 ยุคหิน คือ ยุคที่มนุษย์รู้จักนำหินมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ แบ่งย่อยออกเป็นยุคต่างๆตามลักษณะของเครื่องมือหิน ได้แก่
........................1.1.1 ยุคหินเก่า มีอายุประมาณ 500,000 - 10,000 ปีมาแล้ว ตัวอย่างแหล่งชุมชนมนุษย์ยุคหินเก่าในดินแดนไทย เช่น ถ้ำพระ จังหวัดกาญจนบุรี บ้านแม่ทะ จังหวัดลำปาง เป็นต้น
........................1.1.2 ยุคหินกลาง มีอายุประมาณ 10,000 - 6,000 ปีมาแล้ว ตัวอย่างแหล่งมนุษย์ยุคหินกลางในดินแดนไทย เช่น ถ้ำไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ถ้ำหมอเขียว จังหวัดกระบี่ เป็นต้น
........................1.1.3 ยุคหินใหม่ มีอายุประมาณ 6,000 - 4,000 ปีมาแล้ว ตัวอย่างแหล่งมนุษย์ยุคหินใหม่ในดินแดนไทย เช่น บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น
................1.2 ยุคโลหะ คือ ยุคที่มนุษย์รู้จักนำโลหะมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ แบ่งตามชนิดของวัสดุเป็น 2 ยุค ได้แก่
........................1.2.1 ยุคสำริด มีอายุประมาณ 4,000 - 2,500 ปีมาแล้ว ตัวอย่างแหล่งมนุษย์ยุคสำริดในดินแดนไทย เช่น บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น
........................1.2.2 ยุคเหล็ก มีอายุประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว ตัวอย่างแหล่งมนุษย์ยุคเหล็กในดินแดนไทย เช่น บ้านดอนตาเพชร จังหวัดกาญจนบุรี บ้านโนนนกทา จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น
........2. สมัยประวัติศาสตร์ สมัยประวัติศาสตร์เป็นสมัยที่ปรากฏหลักฐานลายลักษณ์อักษรที่ใช้ในการสื่อสาร การแบ่งช่วงสมัยประวัติศาสตร์ไทยโดยละเอียดมีดังนี้
................2.1 สมัยก่อนการตั้งอาณาจักรสุโขทัย เช่น อาณาจักรละโว้ (พุทธศตวรรษที่ 12 - 18) อาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11 - 16) เป็นต้น
................2.2 สมัยสุโขทัย เริ่มตั้งแต่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นครองราชย์สมบัติและสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานีเมื่อพ.ศ. 1781 สมัยสุโขทัยเป็นช่วงที่มีการสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทยหลายประการ แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ กำเนิดลายสือไทยหรือตัวหนังสือไทยที่ได้รับการประดิษฐ์ขึ้นโดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
................2.3 สมัยอยุธยา อาณาจักรอยุธยาเป็นราชธานีที่ยาวนานที่สุดถึง 417 ปีตั้งแต่พ.ศ. 1893 - 2310
................2.4 สมัยธนบุรี อาณาจักรธนบุรีมีพระมหากษัตริย์ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในระยะเวลาเพียง 15 ปีตั้งแต่พ.ศ. 2310 - 2325
................2.5 สมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่พ.ศ. 2325 - ปัจจุบัน ซึ่งสามารถแบ่งเป็นสมัยย่อยได้ ดังนี้
........................2.5.1 สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อยู่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 3 ถือเป็นช่วงการฟื้นฟูอาณาจักรในทุกด้านต่อจากสมัยธนบุรี
........................2.5.2 สมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง ยุคปรับปรุงประเทศ อยู่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7 เป็นช่วงที่มีการติดต่อกับต่างชาติและปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยตามแบบตะวันตก ไปจนถึงเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย
........................2.5.3 สมัยประชาธิปไตย นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีรัฐธรรมนูญเป็นกฏหมายสูงสุดในการปกครองประเทศเมื่อปีพ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน
9.การแบ่งยุคประวัติศาสตร์ของอินเดีย
การแบ่งยุคประวัติศาสตร์ของอินเดียมีการแบ่งเป็นยุคสมัยย่อยตามช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์ ที่มีอิทธิพลเหนืออินเดียขณะนั้น
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ โดยมีพวกดราวิเดียน เมื่อ 2,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช จนกระทั่งอารยธรรมแห่งนี้ล่มสลายลงเมื่อ 1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ โดยมีพวกดราวิเดียน เมื่อ 2,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช จนกระทั่งอารยธรรมแห่งนี้ล่มสลายลงเมื่อ 1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช
เมื่อชนชาวอารยันอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน และก่อตั้งอาณาจักรหลายอาณาจักรในภาคเหนือของอินเดีย นับว่าเป็นช่วงเวลาที่การเริ่มสร้างสรรค์อารยธรรมอินเดียที่แท้จริง
มีการก่อตั้งศาสนาต่าง ๆ เรียกว่า สมัยพระเวท (1,500 – 900 ปีก่อนคริสต์ศักราช) สมัยมหากาพย์ (900 – 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
ต่อมาอินเดียรวมตัวกันในสมัยราชวงศ์มคธ (600 – 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช) และมีการรวมตัวอย่างแท้จริง ในสมัยราชวงศ์เมารยะ (321 - 184 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ระยะเวลานี้เป็นเวลาที่อินเดีย เปิดเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนต่าง ๆ
ต่อมาราชวงศ์เมารยะล่มสลาย อินเดียก็เข้าสู่สมัยแห่งการแตกแยก และการรุกรานจากภายนอก จากพวกกรีกและพวกกุษาณะ ระยะเวลานี้เป็นสมัยการผสมผสานทางวัฒนธรรม ก่อนที่จะรวมเป็นจักรวรรดิได้อีกครั้งใน ค.ศ. 320 โดยราชวงศ์คุปตะ (สมัยคุปตะ ค.ศ. 320 – ค.ศ. 535)
ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยกลาง
.......อินเดียเข้าสู่สมัยกลาง ค.ศ. 535 – ค.ศ. 1525 สมัยนี้เป็นช่วงเวลาของความวุ่นวายทางการเมือง และการรุกรานจากต่างชาติ โดยพาะชาวมุสลิม สมัยกลางจึงเป็นสมัยที่อารยธรรมมุสลิมเข้ามามีอิทธิพลในอินเดีย
.......อินเดียสมัยใหม่ภายใต้จักรวรรดิโมกุล ค.ศ. 1526-ค.ศ.1858 เป็นจักรวรรดิที่ปกครองโดยชาวมุสลิม มีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยพระเจ้าอักบาร์มหาราช มีความสามารถในด้านการรบ
สมัยประวัติศาสตร์
.......มีการใช้ตัวอักษรโบราณที่เรียกว่า “บรามิลิป” ประมาณ 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช
.......พวกอินโด-อารยัน ได้ปกครองพวกดราวิเดียนที่เป็นชาวพื้นเมืองเดิม สร้างอารยธรรมต่างๆ
อารยธรรมพระเวท
ชนเผ่าอารยัน เป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินอินเดียมาก่อนหรือหลังอารยธรรมสินธุ ยังเป็นประเด็นโต้แย้งกันอยู่ แม้ในปัจจุบันนี้
ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยกลาง
.......อินเดียเข้าสู่สมัยกลาง ค.ศ. 535 – ค.ศ. 1525 สมัยนี้เป็นช่วงเวลาของความวุ่นวายทางการเมือง และการรุกรานจากต่างชาติ โดยพาะชาวมุสลิม สมัยกลางจึงเป็นสมัยที่อารยธรรมมุสลิมเข้ามามีอิทธิพลในอินเดีย
.......อินเดียสมัยใหม่ภายใต้จักรวรรดิโมกุล ค.ศ. 1526-ค.ศ.1858 เป็นจักรวรรดิที่ปกครองโดยชาวมุสลิม มีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยพระเจ้าอักบาร์มหาราช มีความสามารถในด้านการรบ
สมัยประวัติศาสตร์
.......มีการใช้ตัวอักษรโบราณที่เรียกว่า “บรามิลิป” ประมาณ 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช
.......พวกอินโด-อารยัน ได้ปกครองพวกดราวิเดียนที่เป็นชาวพื้นเมืองเดิม สร้างอารยธรรมต่างๆ
อารยธรรมพระเวท
ชนเผ่าอารยัน เป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินอินเดียมาก่อนหรือหลังอารยธรรมสินธุ ยังเป็นประเด็นโต้แย้งกันอยู่ แม้ในปัจจุบันนี้
แนวความคิดที่ยึดถือโดยคนส่วนใหญ่เชื่อว่า ชนเผ่าอารยันเข้ามาสู่อินเดียหลังจากความเจริญสูงสุดของอารยธรรมสินธุผ่านไปแล้ว
และชาวอารยัน ได้สร้างอารยธรรมของตนเองขึ้นมาในรูปแบบและเนื้อหาที่แตกต่างไปจากอารยธรรมสินธุเดิม แต่ก็ยังมีบางแนวคิดที่เชื่อว่า ชนเผ่าอารยันอยู่บนแผ่นดินอินเดียมานานแล้ว แต่ไม่ได้มีบทบาทในการสร้างวัฒนธรรมที่เป็นกระแสหลักของสังคม
จวบจนเมื่ออารยธรรมสินธุเสื่อมลง จึงทำให้วัฒนธรรมของพวกอารยันกลายมาเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก และพัฒนามาเป็นอารยธรรมในเวลาต่อมา
คัมภีร์พระเวท คือ หลักฐานทางจินตนาการที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของพวกอารยัน จินตนาการอันงดงามและทรงพลังของชาวอารยัน ได้ถูกสร้างสรรค์ ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนปรากฏเป็นรูปคัมภีร์ที่รู้จักกันในชื่อ "ไตรเวท" (คัมภีร์พระเวททั้ง 3 ) ได้แก่
.......1. ฤคเวท
.......2. ยชุรเวท
.......3. สามเวท
(พระเวทที่ 4 คือ อถรวเวท หรือ อาถรรพเวท เกิดขึ้นในภายหลัง)
คัมภีร์พระเวทนี้ ได้กลายมาเป็นรากฐานของอารยธรรมอินเดียในเวลาต่อมา และสืบทอดกันมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
ด้วยรากฐานคือคัมภีร์พระเวทนี้เอง ที่เป็นฐานให้เกิดคัมภีร์อื่นคือ คัมภีร์พราหมณ, คัมภีร์อุปนิษัท, ตลอดทั้งมหากาพย์และวรรณกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ที่กลายมาเป็นจินตนาการอันทรงพลังให้กับความเจริญรุ่งเรืองของสังคมอินเดียในเวลาต่อมา
.......จินตนาการอันงดงามและทรงพลังของชาวอารยัน ได้กลายมาเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตและกฎระเบียบทางสังคม ในแง่ของสังคม ได้เกิดระบบวรรณะที่ทรงพลัง จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของสังคมอินเดีย วรรณะทั้ง 4 คือ
.......1. พราหมณ์
.......2. กษัตริย์
.......3. แพศย์
.......4. ศูทร
.......จินตนาการอันงดงามและทรงพลังของชาวอารยัน ได้กลายมาเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตและกฎระเบียบทางสังคม ในแง่ของสังคม ได้เกิดระบบวรรณะที่ทรงพลัง จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของสังคมอินเดีย วรรณะทั้ง 4 คือ
.......1. พราหมณ์
.......2. กษัตริย์
.......3. แพศย์
.......4. ศูทร
8.การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของจีน
........อารยธรรมของจีนเริ่มปรากฏในบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลือง ประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช แบ่งยุคดังนี้
1.ก่อนประวัติศาสตร์
........1. วัฒนธรรมหยางเชา ที่บริเวณมณฑลเหอหนานและบริเวณมณฑลเกียงทาง พบเครื่องปั้นดินเผาที่มีสีแดง ดำรงชีพด้วยการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์
........2. วัฒนธรรมลุงซาน มณฑลชานตุง พบเครื่องปั้นดินเผาสีดำขัดมัน เป็นเงา เนื้อบางละเอียดกว่าเครื่องปั้นสีแดง
2.สมัยประวัติศาสตร์
........สมัยราชวงศ์ซาง , อินซาง
........เดิมชื่อราชวงศ์ซาง ต่อมามีการย้ายเมืองหลวงถึง 5 ครั้ง ครั้งสุดท้ายอยู่ที่เมืองเมืองอิน จึงเปลี่ยนชื่อเป็นราชวงศ์อิน บางคนก็เรียกราชวงศ์อินซาง จัดเป็นยุคที่ไสยศาสตร์เฟื่องฟู นิยมการเสี่ยงทายด้วยกระดองเต่ากันมาก ตัวอักษรจีนเริ่มต้นพัฒนามาจากราชวงศ์นี้ เรียกว่า ตัวอักษรเจี๋ยกู่เหวิน (อักษรกระดูก) โจ้ว ที่เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซาง ซึ่งในประวัติศาสตร์ประณามไว้ว่า เป็นคนโหดร้ายทารุณมาก นิยมการสงคราม และหลงใหลในอิสตรี โดยเฉพาะสนมเอกชื่อ ต๋าจี หรือขันกี ซึ่งเป็นคนวิปริตผิดมนุษย์ คอยยุยงให้โจ้วฆ่าคนเป็นผักปลา สร้างสระเหล้าดงเนื้อขึ้น (เอาน้ำเหล้ามาใส่ในสระ แล้วเอาเนื้อสัตว์มาห้อยไว้ตามต้นไม้)
มีลักษณะที่สำคัญดังนี้
........การปกครอง แบบนครรัฐ กษัตริย์เป็นผู้นำ
........สังคม ประชาชนมีความเป็นอยู่เรียบง่าย อาศัยในกระท่อมสร้างจากดินเหนียว
........สภาพเศรษฐกิจ ประชาชนมีอาชีพเกษตรเป็นหลัก ใช้เปลือกหอยเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน
........ภาษา มีอักษรใช้แล้ว
........จีนสมัยสามก๊กและยุคมืดมน เป็นช่วงที่ประชากรจีนเพิ่มมากขึ้น เป็นชาวจีนที่เกิดจากการผสมทางสายเลือด ได้รับวัฒนธรรมจากชาวฮั่น พุทธศาสนามีการปกครองจีนหลายราชวงศ์ ราชวงศ์ถัง ยุคของความเจริญในทุกด้าน ราชวงศ์ซ้อง มีความเจริญด้านการเดินเรือ ราชวงศ์หยวน ราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ชิง ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
........สมัยสาธารณรัฐและสมัยสาธารณรัฐประชาชนจีน ความเสื่อมของราชวงศ์แมนจูที่เปิดโอกาสให้ชาติตะวันตกเข้ามามีอำนาจเหนือดินแดนจีน เกิดขบวนการปฏิวัติเพื่อโค่นล้มราชวงศ์แมนจูจากกลุ่มปัญญาชนที่ไปศึกษาต่างประเทศ ผู้นำขบวนการปฏิวัติ คือ ดร.ซุน ยัดเซ็น เป็นการสิ้นสุดจักรพรรดิของจีน ใน พ.ศ. 1921 พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนได้ก่อตั้งขึ้น เนื่องจากปัญญาชนของจีนหันไปหาแนวทางใหม่ในการแก้ปัญหา ได้ต่อสู้กับรัฐบาลจีนจนได้รับชัยชนะ แล้วนำแนวทางสังคมนิยมมาใช้ในประเทศจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 โดยการนำของเหม๋า เจ๋อ ตุง และจีนมีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ถึงปัจจุบัน
1.ก่อนประวัติศาสตร์
........1. วัฒนธรรมหยางเชา ที่บริเวณมณฑลเหอหนานและบริเวณมณฑลเกียงทาง พบเครื่องปั้นดินเผาที่มีสีแดง ดำรงชีพด้วยการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์
........2. วัฒนธรรมลุงซาน มณฑลชานตุง พบเครื่องปั้นดินเผาสีดำขัดมัน เป็นเงา เนื้อบางละเอียดกว่าเครื่องปั้นสีแดง
2.สมัยประวัติศาสตร์
........สมัยราชวงศ์ซาง , อินซาง
........เดิมชื่อราชวงศ์ซาง ต่อมามีการย้ายเมืองหลวงถึง 5 ครั้ง ครั้งสุดท้ายอยู่ที่เมืองเมืองอิน จึงเปลี่ยนชื่อเป็นราชวงศ์อิน บางคนก็เรียกราชวงศ์อินซาง จัดเป็นยุคที่ไสยศาสตร์เฟื่องฟู นิยมการเสี่ยงทายด้วยกระดองเต่ากันมาก ตัวอักษรจีนเริ่มต้นพัฒนามาจากราชวงศ์นี้ เรียกว่า ตัวอักษรเจี๋ยกู่เหวิน (อักษรกระดูก) โจ้ว ที่เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซาง ซึ่งในประวัติศาสตร์ประณามไว้ว่า เป็นคนโหดร้ายทารุณมาก นิยมการสงคราม และหลงใหลในอิสตรี โดยเฉพาะสนมเอกชื่อ ต๋าจี หรือขันกี ซึ่งเป็นคนวิปริตผิดมนุษย์ คอยยุยงให้โจ้วฆ่าคนเป็นผักปลา สร้างสระเหล้าดงเนื้อขึ้น (เอาน้ำเหล้ามาใส่ในสระ แล้วเอาเนื้อสัตว์มาห้อยไว้ตามต้นไม้)
มีลักษณะที่สำคัญดังนี้
........การปกครอง แบบนครรัฐ กษัตริย์เป็นผู้นำ
........สังคม ประชาชนมีความเป็นอยู่เรียบง่าย อาศัยในกระท่อมสร้างจากดินเหนียว
........สภาพเศรษฐกิจ ประชาชนมีอาชีพเกษตรเป็นหลัก ใช้เปลือกหอยเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน
........ภาษา มีอักษรใช้แล้ว
........จีนสมัยสามก๊กและยุคมืดมน เป็นช่วงที่ประชากรจีนเพิ่มมากขึ้น เป็นชาวจีนที่เกิดจากการผสมทางสายเลือด ได้รับวัฒนธรรมจากชาวฮั่น พุทธศาสนามีการปกครองจีนหลายราชวงศ์ ราชวงศ์ถัง ยุคของความเจริญในทุกด้าน ราชวงศ์ซ้อง มีความเจริญด้านการเดินเรือ ราชวงศ์หยวน ราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ชิง ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
........สมัยสาธารณรัฐและสมัยสาธารณรัฐประชาชนจีน ความเสื่อมของราชวงศ์แมนจูที่เปิดโอกาสให้ชาติตะวันตกเข้ามามีอำนาจเหนือดินแดนจีน เกิดขบวนการปฏิวัติเพื่อโค่นล้มราชวงศ์แมนจูจากกลุ่มปัญญาชนที่ไปศึกษาต่างประเทศ ผู้นำขบวนการปฏิวัติ คือ ดร.ซุน ยัดเซ็น เป็นการสิ้นสุดจักรพรรดิของจีน ใน พ.ศ. 1921 พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนได้ก่อตั้งขึ้น เนื่องจากปัญญาชนของจีนหันไปหาแนวทางใหม่ในการแก้ปัญหา ได้ต่อสู้กับรัฐบาลจีนจนได้รับชัยชนะ แล้วนำแนวทางสังคมนิยมมาใช้ในประเทศจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 โดยการนำของเหม๋า เจ๋อ ตุง และจีนมีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ถึงปัจจุบัน
7.อารยธรรมตะวันตก
อารยธรรมตะวันตก แบ่งออกเป็น 4 ยุค คือ
- ยุคโบราณ
- ยุคกลาง
- ยุคฟื้นฟูวัฒนธรรม
- ยุคใหม่
ยุคโบราณ
.......1. อารยธรรมตะวันตกในยุคโบราณเป็นอารยธรรมในลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรตีส
.......เริ่มตั้งแต่เมื่อชนชาวสุเมเรียนประดิษฐ์ตัวอักษรรูปลิ่ม หรือตัวอักษรคูนิฟอร์ม ขึ้นใช้เมื่อประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสตร์ศักราช และสิ้นสุดลงเมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลาย เพราะถูกรุกรานโดยพวกอนารยชนเผ่าเยอรมัน
.......สุเมเรียน เป็นชนกลุ่มแรกที่เข้ามาสร้างอารยธรรมในดินแดนนี้
..............ได้จัดตั้งอาณาจักรบาบิโลเนีย ผลงานสำคัญได้แก่ ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี
..............อัสซีเรียเป็นนักรบที่กล้าหาญ ผลงานที่สำคัญ ได้แก่ การสลักภาพนูนต่ำ มีการรวบรวมที่ห้องสมุดนิเนเวห์
..............ชาวคาลเดียมีความรู้ด้านดาราศาสตร์ นำความรู้ดาราศาสตร์มาทำนายชะตาชีวิต
.......2. อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์ หรืออารยธรรมอียิปต์โบราณ
.......การประดิษฐ์อักษรภาพที่เรียกว่า “เฮียโรกลิฟิก” ด้านสถาปัตยกรรม มีการสร้าง พีระมิด เป็นสุสานฝังพระศพของ ฟาโรห์ รู้จักการเก็บรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยที่เรียกว่า “มัมมี่”
.......3. อารยธรรมกรีก อารยธรรมกรีกเรียกว่า เป็นอารยธรรมในยุคคลาสสิก
..............งานประติมากรรม เน้นแสดงสัดส่วนสรีระของมนุษย์
..............วรรณคดี เป็นความเชื่อในเรื่องของศาสนา การเคารพบูขาเทพเจ้า
.......4. อารยธรรมโรมัน
.......มีชาวโรมันกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า“ลาติน ”ได้สร้างกรุงโรมขึ้นและทำสงครามขับไล่ชนพื้นเมืองชาวอีทรัสกัน ออกไปได้สำเร็จ โดยความเจริญทางอารยธรรม
..............ชาวโรมันเน้นให้มนุษย์รับผิดชอบต่อรัฐ
..............กฎหมายสิบสองโต๊ะ
..............สถาปัตยกรรม สร้างอาคารต่างๆ เพื่อประโยชน์ใช้สอยของสาธารณชน
..............ประติมากรรม สะท้อนบุคลิกภาพมนุษย์สมจริงตามธรรมชาติ
.......1. อารยธรรมตะวันตกในยุคโบราณเป็นอารยธรรมในลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรตีส
.......เริ่มตั้งแต่เมื่อชนชาวสุเมเรียนประดิษฐ์ตัวอักษรรูปลิ่ม หรือตัวอักษรคูนิฟอร์ม ขึ้นใช้เมื่อประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสตร์ศักราช และสิ้นสุดลงเมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลาย เพราะถูกรุกรานโดยพวกอนารยชนเผ่าเยอรมัน
.......สุเมเรียน เป็นชนกลุ่มแรกที่เข้ามาสร้างอารยธรรมในดินแดนนี้
..............ได้จัดตั้งอาณาจักรบาบิโลเนีย ผลงานสำคัญได้แก่ ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี
..............อัสซีเรียเป็นนักรบที่กล้าหาญ ผลงานที่สำคัญ ได้แก่ การสลักภาพนูนต่ำ มีการรวบรวมที่ห้องสมุดนิเนเวห์
..............ชาวคาลเดียมีความรู้ด้านดาราศาสตร์ นำความรู้ดาราศาสตร์มาทำนายชะตาชีวิต
.......2. อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์ หรืออารยธรรมอียิปต์โบราณ
.......การประดิษฐ์อักษรภาพที่เรียกว่า “เฮียโรกลิฟิก” ด้านสถาปัตยกรรม มีการสร้าง พีระมิด เป็นสุสานฝังพระศพของ ฟาโรห์ รู้จักการเก็บรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยที่เรียกว่า “มัมมี่”
.......3. อารยธรรมกรีก อารยธรรมกรีกเรียกว่า เป็นอารยธรรมในยุคคลาสสิก
..............งานประติมากรรม เน้นแสดงสัดส่วนสรีระของมนุษย์
..............วรรณคดี เป็นความเชื่อในเรื่องของศาสนา การเคารพบูขาเทพเจ้า
.......4. อารยธรรมโรมัน
.......มีชาวโรมันกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า“ลาติน ”ได้สร้างกรุงโรมขึ้นและทำสงครามขับไล่ชนพื้นเมืองชาวอีทรัสกัน ออกไปได้สำเร็จ โดยความเจริญทางอารยธรรม
..............ชาวโรมันเน้นให้มนุษย์รับผิดชอบต่อรัฐ
..............กฎหมายสิบสองโต๊ะ
..............สถาปัตยกรรม สร้างอาคารต่างๆ เพื่อประโยชน์ใช้สอยของสาธารณชน
..............ประติมากรรม สะท้อนบุคลิกภาพมนุษย์สมจริงตามธรรมชาติ
ยุคกลาง
.......1. การเมือง การปกครอง เป็นยุคมืด ปกครองระบบฟิวดัลหรือศักดินาสวามิภักดิ์ เป็นยุคแห่งความแตกแยกทางสังคม
.......2. ศิลปวัฒนธรรม ได้รับอิทธิพลจากหลักคำสอนศาสนาคริสต์
.......3. การศึกษา มีการตั้งมหาวิทยาลัยโบโลญญ่าในอิตาลี
.......4. วรรณกรรม เป็นประเภทเพ้อฝัน
ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการในยุโรป
.......1. ยุคของมนุษย์นิยมที่เน้นความงดงามสรีระร่างกาย
.......2. สนใจด้านความเป็นอยู่ในปัจจุบันมากกว่าในภพหน้า
.......3. มีบทบาทของชนชั้นกลางมากขึ้น
ยุโรปสมัยใหม่
.......ให้ความสำคัญด้านวัตถุเพื่อสร้างความมั่นคงให้ตนเอง การค้าขายมีลักษณะดังนี้
.......1. สำรวจและค้นพบดินแดนใหม่ ค้นพบทวีปอเมริกา เป็นจุดเริ่มต้น
.......2. ปฏิวัติวิทยาศาสตร์
.......3. เกิดของยุคภูมิธรรม เป็นยุคที่ประชาชนเรียกร้องความเท่าเทียมกัน
.......4. ปฏิวัติอุตสาหกรรม หันมาใช้เครื่องจักรกล
.......5. การล่าอาณานิคม เสาะแสวงหาแหล่งวัตถุดิบเพื่อมาผลิตสินค้า
.......1. การเมือง การปกครอง เป็นยุคมืด ปกครองระบบฟิวดัลหรือศักดินาสวามิภักดิ์ เป็นยุคแห่งความแตกแยกทางสังคม
.......2. ศิลปวัฒนธรรม ได้รับอิทธิพลจากหลักคำสอนศาสนาคริสต์
.......3. การศึกษา มีการตั้งมหาวิทยาลัยโบโลญญ่าในอิตาลี
.......4. วรรณกรรม เป็นประเภทเพ้อฝัน
ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการในยุโรป
.......1. ยุคของมนุษย์นิยมที่เน้นความงดงามสรีระร่างกาย
.......2. สนใจด้านความเป็นอยู่ในปัจจุบันมากกว่าในภพหน้า
.......3. มีบทบาทของชนชั้นกลางมากขึ้น
ยุโรปสมัยใหม่
.......ให้ความสำคัญด้านวัตถุเพื่อสร้างความมั่นคงให้ตนเอง การค้าขายมีลักษณะดังนี้
.......1. สำรวจและค้นพบดินแดนใหม่ ค้นพบทวีปอเมริกา เป็นจุดเริ่มต้น
.......2. ปฏิวัติวิทยาศาสตร์
.......3. เกิดของยุคภูมิธรรม เป็นยุคที่ประชาชนเรียกร้องความเท่าเทียมกัน
.......4. ปฏิวัติอุตสาหกรรม หันมาใช้เครื่องจักรกล
.......5. การล่าอาณานิคม เสาะแสวงหาแหล่งวัตถุดิบเพื่อมาผลิตสินค้า
6.ยุคก่อนประวัติศาสตร์
........1. ยุคหินเก่า ประมาณ 500,000 ปีล่วงมาแล้ว มนุษย์ในยุคนี้เริ่มทำเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยหินอย่างง่ายก่อน เมื่อเวลาผ่านไปก็สามารถดัดแปลงให้เหมาะสมกับการใช้งาน เครื่องมือหิน มนุษย์ใช้วัสดุจำพวกหินไฟ
........2. ยุคหินกลาง ประมาณ 10,000-5,000 ปีล่วงมาแล้วมนุษย์ในช่วงเวลานี้เริ่มมีการนำวัสดุธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ เช่น ทำตะกร้าสาน ทำรถลาก และเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหินก็มีความประณีตมากขึ้น ตลอดจนรู้จักนำสุนัขมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง
........3. ยุคหินใหม่ ประมาณ 6,000-4,000 ปีล่วงมาแล้ว ยุคนี้มีพัฒนาการทำเครื่องมืออย่างประณีตมากขึ้น โดยการฝนให้เป็นรูปทรงต่างๆ
........4. ยุคโลหะ ยุคที่นำโลหะมาประยุกต์ใช้ในชีวิต แบ่งออกเป็น 2 ยุคย่อยคือ ยุคสำริด และยุคเหล็ก
................4.1 ยุคสำริด สำริดเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก กรรมวิธีการทำสำริดค่อนข้างยุ่งยาก ตั้งแต่การหาแหล่งแร่ การเตรียม การถลุงแร่ และการผสมแร่ในเบ้าหลอม จากนั้นจึงเป็นการขึ้นรูปทำเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยดารตีหรือการหล่อในแม่พิมพ์หินทราย หรือแม่พิมพ์ดินเผา
................4.2 ยุคเหล็ก ยุคเหล็กมีความแตกต่างจากยุคสำริดหลายประการ คือ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเหล็กทำให้เกิดการเพิ่มผลผลิต การผลิตเหล็กทำให้กองทัพมีอาวุธที่แข็งแกร่ง นำไปสู่พัฒนาการทางสังคมจนกลายเป็นรัฐที่มีกำลังทหารที่แข็งแกร่งเข้ายึดครองสังคมอื่นๆ ขยายเป็นอาณาจักรในเวลาต่อมา
........2. ยุคหินกลาง ประมาณ 10,000-5,000 ปีล่วงมาแล้วมนุษย์ในช่วงเวลานี้เริ่มมีการนำวัสดุธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ เช่น ทำตะกร้าสาน ทำรถลาก และเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหินก็มีความประณีตมากขึ้น ตลอดจนรู้จักนำสุนัขมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง
........3. ยุคหินใหม่ ประมาณ 6,000-4,000 ปีล่วงมาแล้ว ยุคนี้มีพัฒนาการทำเครื่องมืออย่างประณีตมากขึ้น โดยการฝนให้เป็นรูปทรงต่างๆ
........4. ยุคโลหะ ยุคที่นำโลหะมาประยุกต์ใช้ในชีวิต แบ่งออกเป็น 2 ยุคย่อยคือ ยุคสำริด และยุคเหล็ก
................4.1 ยุคสำริด สำริดเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก กรรมวิธีการทำสำริดค่อนข้างยุ่งยาก ตั้งแต่การหาแหล่งแร่ การเตรียม การถลุงแร่ และการผสมแร่ในเบ้าหลอม จากนั้นจึงเป็นการขึ้นรูปทำเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยดารตีหรือการหล่อในแม่พิมพ์หินทราย หรือแม่พิมพ์ดินเผา
................4.2 ยุคเหล็ก ยุคเหล็กมีความแตกต่างจากยุคสำริดหลายประการ คือ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเหล็กทำให้เกิดการเพิ่มผลผลิต การผลิตเหล็กทำให้กองทัพมีอาวุธที่แข็งแกร่ง นำไปสู่พัฒนาการทางสังคมจนกลายเป็นรัฐที่มีกำลังทหารที่แข็งแกร่งเข้ายึดครองสังคมอื่นๆ ขยายเป็นอาณาจักรในเวลาต่อมา
สมัยประวัติศาสตร์
........สมัยประวัติศาสตร์เป็นสมัยที่ปรากฏหลักฐานลายลักษณ์อักษร หลักฐานสมัยประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนไทย คือ ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช โดยสมัยประวัติศาสตร์สามารถแบ่งได้ตามช่วงเวลาได้ดังนี้
........1. สมัยโบราณ เป็นประวัติศาสตร์ของผู้คนที่พัฒนาชุมชน เป็นเมืองในดินแดนต่างๆ คือ ดินแดนลุ่มน้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำไทกรีส ยูเฟรตีส
........2. สมัยกลาง เริ่มต้นภายหลังจากที่อาณาจักรโรมันล่มสลาย ศาสนาคริสต์เริ่มมีบทบาทและอำนาจ
........3. สมัยใหม่ เริ่มรวมคริสทศตวรรษที่ 15 ซึ่งมีการฟื้นฟูศิลปกรีก-โรมัน และมีการปฏิวัติวิทยาศาสตร์
........4. สมัยปัจจุบัน เริ่มจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดความบานปลายจึงก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
........1. สมัยโบราณ เป็นประวัติศาสตร์ของผู้คนที่พัฒนาชุมชน เป็นเมืองในดินแดนต่างๆ คือ ดินแดนลุ่มน้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำไทกรีส ยูเฟรตีส
........2. สมัยกลาง เริ่มต้นภายหลังจากที่อาณาจักรโรมันล่มสลาย ศาสนาคริสต์เริ่มมีบทบาทและอำนาจ
........3. สมัยใหม่ เริ่มรวมคริสทศตวรรษที่ 15 ซึ่งมีการฟื้นฟูศิลปกรีก-โรมัน และมีการปฏิวัติวิทยาศาสตร์
........4. สมัยปัจจุบัน เริ่มจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดความบานปลายจึงก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
5.ความสัมพันธ์ของยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สากล
.......การศึกษาของประวัติศาสตร์สากล แบ่งออกเป็น 4 ยุคสมัย คือ
.......1. ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เป็นงานเขียนทางประวัติศาสตร์ในยุคกรีกและยุคโรมัน ในยุคกรีกเป็นงานเขียนที่เน้นให้ความสำคัญกับมนุษย์มากขึ้น ภาพแนวคิดแบบมนุษย์นิยม ซึ่งเป็นการเขียนอย่างมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือ จะเน้นบทบาทของมนุษย์ ระบุเวลา และสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์ ในยุคโรมันการเขียนประวัติศาสตร์จะอยู่ในรูปของการบันทึกต่างๆ ซึ่งใช้เป็นหลักฐานที่สำคัญในการศึกษาความเจริญรุ่งเรืองของโรมัน
.......2. ประวัติศาสตร์สมัยกลาง มีลักษณะที่สำคัญ คือ เป็นงานเขียน ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคริสตจักรซึ่งคือหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ ทั้งนี้เพราะเป็นยุคมืด งานเขียนในยุคนี้จะเป็นงานเขียนเกี่ยวกับการรับใช้พระเจ้าโดยเน้นให้มนุษย์มีความเคารพยำเกรงในพระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดชีวิต ในยุคนี้บทบาทของประชาชนถูกจำกัด
.......3. ประวัติศาสตร์สมัยฟื้นฟูวิทยาการ เป็นงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่สลัดจากการครอบงำของศาสนาคริสต์อย่างสิ้นเชิง หันมาให้ความสำคัญกับมนุษย์นิยมอีกครั้ง โดยหันไปศึกษาอารยธรรมกรีก และโรมันเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน เป็นงานเขียนที่เน้นศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการดำเนินชีวิตประจำวัน
.......4. ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เป็นงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ การศึกษาจะมีความคล้ายคลึงกับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ คือ มีขั้นตอนการศึกษาที่ชัดเจน มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ จะทำอย่างมีเหตุมีผล ทำให้ได้รับความน่าเชื่อถือที่สุดในปัจจุบัน
ความสัมพันธ์ของยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย
.......ความสัมพันธ์ระหว่าง ประวัติศาสตร์สุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี รัตนโกสินทร์ แบ่งออกได้ดังนี้
1. ด้านการเมืองการปกครองของไทยมีลักษณะดังนี้
..............1.อาณาจักรสุโขทัยพระมหากษัตริย์จะใช้หลักธรรมของพระพุทธศาสนา ในการปกครองประเทศ คือ ทศพิธราชธรรม ราชจรรยาวัตร และจักรวรรดิวัตร
..............2.มีการปกครองประเทศโดยพระมหากษัตริย์ แม้จะมีพระราชฐานะแตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่ยังงทำหน้าที่ดูแลราษฎรของพระองค์ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีตลอดมา
..............3หลักกฎหมายรับอิทธิพลมาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ของอินเดียเหมือนกัน โดยถึงแม้จะมีชื่อแตกต่างกันไป เช่น กฎหมายสมัยสุโขทัย กฎหมายสมัยกรุงศรีอยุธยา คือ กฎหมายราชศาสตร์ กฎหมายของรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือ กฎหมายตราสามดวง และ กฎหมายในปัจจุบัน คือ กฎหมายรัฐธรรมนูญ ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลมาจากคำสอนของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ทั้งสิ้น
2. ทางด้านเศรษฐกิจของไทยมีลักษณะดังนี้
..............1.การใช้เงินในการติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน
..............2.ประเทศคู่ค้าของประเทศไทยตั้งแต่โบราณ มีประเทศคู่ค้าที่สำคัญตลอดมา คือ ประเทศจีน
..............3.ประเทศของสินค้าเพื่อการส่งออกของไทยตั้งแต่สุโขทัยจนถึงรัตนโกสินทร์ สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยจะเป็นสินค้าประเภทหัตถกรรมมากกว่าสิ่งอื่น
3. ทางด้านสังคมวัฒนธรรมของไทยมีลักษณะดังนี้
..............1.การมีชนชั้น สามารถแบ่งโดยกว้างๆ ออกเป็น 2 ชนชั้น คือผู้ปกครองหรือพ่อขุน และผู้ถูกปกครองคือไพร่ฟ้าในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี ถึงรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีการแบ่งชนชั้นของประชาชนอย่างชัดเจนโดยแบ่งเป็นลำดับชั้นดังนี้
.....................1.ชนชั้นกษัตริย์
.....................2.ชนชั้นราชวงศ์หรือเจ้านาย
.....................3.ชนชั้นขุนนาง
.....................4.ชนชั้นพระสงฆ์
.....................5.ชนชั้นไพร่
.....................6.ชนชั้นทาส
.......และได้มีการประกาศยกเลิกชนชั้นต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
..............2.ความศรัทธาในพุทธศาสนาของประชาชน โดยศาสนาพุทธประดิษฐานเป็นศาสนาประจำชาติไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
..............3.การใช้ภาษาไทยในการติดต่อสื่อสารกัน ซึ่งประดิษฐ์โดยพ่อขุนรามคำแหง มีการปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นถือเป็นความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และรัตนโกสินทร์
.......1. ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เป็นงานเขียนทางประวัติศาสตร์ในยุคกรีกและยุคโรมัน ในยุคกรีกเป็นงานเขียนที่เน้นให้ความสำคัญกับมนุษย์มากขึ้น ภาพแนวคิดแบบมนุษย์นิยม ซึ่งเป็นการเขียนอย่างมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือ จะเน้นบทบาทของมนุษย์ ระบุเวลา และสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์ ในยุคโรมันการเขียนประวัติศาสตร์จะอยู่ในรูปของการบันทึกต่างๆ ซึ่งใช้เป็นหลักฐานที่สำคัญในการศึกษาความเจริญรุ่งเรืองของโรมัน
.......2. ประวัติศาสตร์สมัยกลาง มีลักษณะที่สำคัญ คือ เป็นงานเขียน ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคริสตจักรซึ่งคือหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ ทั้งนี้เพราะเป็นยุคมืด งานเขียนในยุคนี้จะเป็นงานเขียนเกี่ยวกับการรับใช้พระเจ้าโดยเน้นให้มนุษย์มีความเคารพยำเกรงในพระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดชีวิต ในยุคนี้บทบาทของประชาชนถูกจำกัด
.......3. ประวัติศาสตร์สมัยฟื้นฟูวิทยาการ เป็นงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่สลัดจากการครอบงำของศาสนาคริสต์อย่างสิ้นเชิง หันมาให้ความสำคัญกับมนุษย์นิยมอีกครั้ง โดยหันไปศึกษาอารยธรรมกรีก และโรมันเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน เป็นงานเขียนที่เน้นศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการดำเนินชีวิตประจำวัน
.......4. ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เป็นงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ การศึกษาจะมีความคล้ายคลึงกับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ คือ มีขั้นตอนการศึกษาที่ชัดเจน มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ จะทำอย่างมีเหตุมีผล ทำให้ได้รับความน่าเชื่อถือที่สุดในปัจจุบัน
ความสัมพันธ์ของยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย
.......ความสัมพันธ์ระหว่าง ประวัติศาสตร์สุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี รัตนโกสินทร์ แบ่งออกได้ดังนี้
1. ด้านการเมืองการปกครองของไทยมีลักษณะดังนี้
..............1.อาณาจักรสุโขทัยพระมหากษัตริย์จะใช้หลักธรรมของพระพุทธศาสนา ในการปกครองประเทศ คือ ทศพิธราชธรรม ราชจรรยาวัตร และจักรวรรดิวัตร
..............2.มีการปกครองประเทศโดยพระมหากษัตริย์ แม้จะมีพระราชฐานะแตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่ยังงทำหน้าที่ดูแลราษฎรของพระองค์ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีตลอดมา
..............3หลักกฎหมายรับอิทธิพลมาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ของอินเดียเหมือนกัน โดยถึงแม้จะมีชื่อแตกต่างกันไป เช่น กฎหมายสมัยสุโขทัย กฎหมายสมัยกรุงศรีอยุธยา คือ กฎหมายราชศาสตร์ กฎหมายของรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือ กฎหมายตราสามดวง และ กฎหมายในปัจจุบัน คือ กฎหมายรัฐธรรมนูญ ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลมาจากคำสอนของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ทั้งสิ้น
2. ทางด้านเศรษฐกิจของไทยมีลักษณะดังนี้
..............1.การใช้เงินในการติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน
..............2.ประเทศคู่ค้าของประเทศไทยตั้งแต่โบราณ มีประเทศคู่ค้าที่สำคัญตลอดมา คือ ประเทศจีน
..............3.ประเทศของสินค้าเพื่อการส่งออกของไทยตั้งแต่สุโขทัยจนถึงรัตนโกสินทร์ สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยจะเป็นสินค้าประเภทหัตถกรรมมากกว่าสิ่งอื่น
3. ทางด้านสังคมวัฒนธรรมของไทยมีลักษณะดังนี้
..............1.การมีชนชั้น สามารถแบ่งโดยกว้างๆ ออกเป็น 2 ชนชั้น คือผู้ปกครองหรือพ่อขุน และผู้ถูกปกครองคือไพร่ฟ้าในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี ถึงรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีการแบ่งชนชั้นของประชาชนอย่างชัดเจนโดยแบ่งเป็นลำดับชั้นดังนี้
.....................1.ชนชั้นกษัตริย์
.....................2.ชนชั้นราชวงศ์หรือเจ้านาย
.....................3.ชนชั้นขุนนาง
.....................4.ชนชั้นพระสงฆ์
.....................5.ชนชั้นไพร่
.....................6.ชนชั้นทาส
.......และได้มีการประกาศยกเลิกชนชั้นต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
..............2.ความศรัทธาในพุทธศาสนาของประชาชน โดยศาสนาพุทธประดิษฐานเป็นศาสนาประจำชาติไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
..............3.การใช้ภาษาไทยในการติดต่อสื่อสารกัน ซึ่งประดิษฐ์โดยพ่อขุนรามคำแหง มีการปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นถือเป็นความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และรัตนโกสินทร์
4.หลักฐานและองค์ความรู้ประวัติศาสตร์ไทย
.......การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยต้องอาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ 4 ลักษณะ
.......1. จากจารึก หมายถึง บันทึกหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของมนุษย์เพื่ออธิบายเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม โดยมีจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้รับทราบลักษณะสำคัญจารึก มีดังนี้ มีการกำหนดสถานที่ เวลา และผู้จัดทำอย่างชัดเจน เป็นซากโบราณที่เข้าใจยาก ต้องมีการอ่านและแปลโดยผู้เชี่ยวชาญจึงสามารถเข้าใจได้ และวัสดุที่ใช้ในการจารึกส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์แตกหัก
.......2. ตำนาน คือ เรื่องเล่าด้วยวาจาสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณผ่านมาหลายชั่วอายุคน ต่อมาภายหลังจึงมีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เรื่องราวในตำนานอาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้เพราะการบอกเล่าต่อกันมาอาจทำให้เนื้อหาผิดเพี้ยนไปตามอารมณ์ของผู้เล่า ลักษณะตำนานที่สำคัญมีดังนี้
..............1. เป็นเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา และความเชื่อของคนในท้องถิ่น เรื่องราวจะแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นนั้นๆ
..............2. ตำนานจะไม่ให้ความสำคัญในเรื่องกาลเวลา จึงต้องระมัดระวังในการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเราไม่ทราบว่าเหตุการเกิดเมื่อใด
..............3. เนื้อหาสาระของตำนานไทยจะเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติและการสร้างบ้านเมืองในสมัยโบราณไทย
..............4.คุณค่าของตำนานต่อการศึกษาประวัติศาสตร์มีน้อย เนื่องจากตำนานจะผ่านวิธีบอกเล่า ซึ่งเกิดความผิดเพี้ยนของเนื้อหา จึงไม่มีความน่าเชื่อถือมากนัก
.......3. พงศาวดาร หมายถึง การบันทึกเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตภายใต้การอุปถัมภ์ของ ราชสำนัก ดังนั้นเนื้อหาพงศาวดาร จึงมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรและพระมหากษํตริย์ ลักษณะที่สำคัญของพงศาวดารคือการเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมืองและพระมหากษัตริย์เท่านั้น ไม่ให้ความสำคัญกับประชาชนโดยทั่วไป แต่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาทางประวัติศาสตร์อย่างมาก
.......4. ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ การศึกษาสมัยใหม่เริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เรียกว่า วิธีการทางประวัติศาสตร์ เน้นวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างมีขั้นตอนที่น่าเชื่อถือมีเหตุผล
.......1. จากจารึก หมายถึง บันทึกหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของมนุษย์เพื่ออธิบายเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม โดยมีจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้รับทราบลักษณะสำคัญจารึก มีดังนี้ มีการกำหนดสถานที่ เวลา และผู้จัดทำอย่างชัดเจน เป็นซากโบราณที่เข้าใจยาก ต้องมีการอ่านและแปลโดยผู้เชี่ยวชาญจึงสามารถเข้าใจได้ และวัสดุที่ใช้ในการจารึกส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์แตกหัก
.......2. ตำนาน คือ เรื่องเล่าด้วยวาจาสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณผ่านมาหลายชั่วอายุคน ต่อมาภายหลังจึงมีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เรื่องราวในตำนานอาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้เพราะการบอกเล่าต่อกันมาอาจทำให้เนื้อหาผิดเพี้ยนไปตามอารมณ์ของผู้เล่า ลักษณะตำนานที่สำคัญมีดังนี้
..............1. เป็นเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา และความเชื่อของคนในท้องถิ่น เรื่องราวจะแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นนั้นๆ
..............2. ตำนานจะไม่ให้ความสำคัญในเรื่องกาลเวลา จึงต้องระมัดระวังในการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเราไม่ทราบว่าเหตุการเกิดเมื่อใด
..............3. เนื้อหาสาระของตำนานไทยจะเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติและการสร้างบ้านเมืองในสมัยโบราณไทย
..............4.คุณค่าของตำนานต่อการศึกษาประวัติศาสตร์มีน้อย เนื่องจากตำนานจะผ่านวิธีบอกเล่า ซึ่งเกิดความผิดเพี้ยนของเนื้อหา จึงไม่มีความน่าเชื่อถือมากนัก
.......3. พงศาวดาร หมายถึง การบันทึกเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตภายใต้การอุปถัมภ์ของ ราชสำนัก ดังนั้นเนื้อหาพงศาวดาร จึงมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรและพระมหากษํตริย์ ลักษณะที่สำคัญของพงศาวดารคือการเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมืองและพระมหากษัตริย์เท่านั้น ไม่ให้ความสำคัญกับประชาชนโดยทั่วไป แต่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาทางประวัติศาสตร์อย่างมาก
.......4. ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ การศึกษาสมัยใหม่เริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เรียกว่า วิธีการทางประวัติศาสตร์ เน้นวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างมีขั้นตอนที่น่าเชื่อถือมีเหตุผล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น