วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

ประกาศคุณูปการ

ประกาศคุณูปการ

ประกาศคุณูปการ

ประกาศคุณูปการ

               











       ตามหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติ ที่กำหนดเป้าหมายของการพัฒนาผู้เรียน คือ ต้องเป็นคนดี 

เป็นคนเก่ง เป็นคนมีความสุข และวางยุทธศาสตร์ กำหนดพันธกิจ ให้พัฒนาผู้เรียน ออกเป็น 3 ด้าน 

ประกอบด้วย 

1.พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) 

2.จิตพิสัย (Effective Domain) 

3.ทักษะพิสัย (Psycho motor Domain)

               ด้วยเหตุผลและความสำคัญดังกล่าว วิชาประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 

โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม จึงได้ให้จัดทำ Work Shop Web Blog นี้ขึ้น เพื่อประกอบการศึกษาเรียนรู้ 

ทักษะที่สำคัญและจำเป็นจำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ที่ต้องพัฒนาตนเอง ตามหลักสูตร

การศึกษาแห่งชาติ ตามทฤษฎีการเรียนเรียนรู้ การจัดการความรู้ (Knowledge Management, KM) 

คือ การรวบรวม สร้าง จัดระเบียบ แลกเปลี่ยน และประยุกต์ใช้ความรู้ โดยพัฒนาระบบวิธีการเรียน 

จาก ข้อมูล ไปสู่ สารสนเทศ เพื่อให้เกิดความรู้และปัญญา รวมทั้งเพื่อก่อประโยชน์ 

ในการนำไปใช้และเกิดการเรียนรู้ ครบทั้งสามด้าน อย่างมีประสิทธิภาพ 

               โดยเฉพาะเป็นการฝึกทักษะพื้นฐานการจัดการความรู้ ทักษะภาษาดิจิตอล 

ทักษะการรู้คิดประดิษฐ์สร้าง ทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่มีประสิทธิผล 

ทักษะการสืบค้น ฯลฯ เพื่อพัฒนาไปสู่ทักษะความรู้ที่มุ่งหวังของหลักสูตร 

โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม (Word Class Standard) ซึ่งเป็นโรงเรียนมาตรฐานสากล 6 ประการ 

ประกอบด้วย 

(1) ทักษะการเรียนรู้ Learning Skills 

(2) ทักษะการคิด Thinking Skills 

(3) ทักษะการแก้ปัญหา Problem Skills 

(4) ทักษะชีวิต Life Skills 

(5) ทักษะการใช้เทคโนโลยี Technology Skills 

(6) ทักษะการสื่อสาร Communication Skills 

               จากเหตุผลและความจำเป็นดังกล่าว จึงได้นำการศึกษาเรียนรู้ตามทฤษฎีระบบการเรียน 

KM (Knowledge  Management) เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาและฝึกทักษะการจัดการความรู้ด้วยการจัดทำ 

Work Shop Blog Sites ที่มีความสำคัญสำหรับกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล 

มุ่งสู่เป้าหมายของหลักสูตร ครบทั้งสามด้าน Web Blog Education ผู้เรียนจึงจัดทำ Work Shop นี้ขึ้น

               ขอบพระคุณโรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม ขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการ ชอบ ธาระมนต์ 
ขอบพระคุณ คุณครูวิบูลลักษณ์  นามบุญลือ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา 
ขอบพระคุณคุณครูชาญวิทย์  ปรีชาพาณิชพัฒนา คุณครูผู้สอน ขอบพระคุณคุณพ่อ คุณแม่ของผู้จัดทำ 
และขอบคุณเพื่อนๆ และกัลยาณมิตร ทุกๆ ท่าน ที่มีส่วนในการให้ความรู้ ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ 
ในการศึกษาเรียนรู้ ในการจัดทำ จน Work Shop Web Blog Sites นี้ เสร็จสิ้นสมบูรณ์

20 การปฏิวัติฝรั่งเศส

20. การปฏิวัติฝรั่งเศส

การปฎิวัติฝรั่งเศส ........1. สาเหตุทางสังคมและการเมืองการปกครอง โดยฐานะของผู้คนในสังคมมีสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ ชนชั้นอภิสิทธิ์และชนชั้นสามัญชน แต่ในทางปฏิบัติทางการจะแบ่งฐานะของพลเมืองออกเป็น 3 ชนชั้นหรือ 3 ฐานันดร ได้แก่ ................ฐานันดรที่ 1 คือ พระและนักบวชในคริสต์ศาสนา ................ฐานันดรที่ 2 คืน ขุนนางและชนชั้นสูง ทั้งสองฐานันดรเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ มีจำนวนประมาณร้อยละ 2 ของจำนวนประชากรทั้งหมด มีชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบายและหรูหรา ................ฐานันดรที่ 3 คือ สามัญชน ส่วนใหญ่เป็นชาวนาที่ยากจนและถูกขูดรีดภาษีอย่างหนัก รวมทั้งพวกชนชั้นกลาง เช่น พ่อค้า ช่างฝีมือ และปัญญาชน ฯลฯสาเหตุที่นำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 ........2. ปัญหาทางเศรษฐกิจ จากการที่มีระบบเศรษฐกิจที่ล้าหลัง และเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินของประเทศเนื่องมาจากการทำสงครามภายนอกประเทศ รวมถึงการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของราชสำนัก รัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (ค.ศ. 1776-1792 ) จึงมีนโยบายจะเก็บภาษีอากรจากประชาชนเพื่อชดเชยรายจ่ายที่ต้องสูญเสียไป จึงสร้างความไม่พอใจแก่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ........3. ความเสื่อมโทรมของระบอบการปกครองแบบเก่า กษัตริย์ฝรั่งเศสในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทรงมีพระราชอำนาจเป็นล้นพ้นไม่มีขอบเขตจำกัดและทรงอยู่เหนือกฎหมายของบ้านเมืองโดยเฉพาะในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 มีหลายครั้งที่ทรงใช้อำนาจโดยไม่ฟังเสียงประชาชน ทรงไม่สนพระทัยการบริหารบ้านเมือง อีกทั้งยังทรงอยู่ภายใต้อิทธิพลของพระนางมารี อังตัวเนตต์เป็นพระราชินี ซึ่งทรงนิยมใช้จ่ายในพระราชสำนักอย่างฟุ่มเฟือย จุดเริ่มต้นการปฎิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 ........1.เปิดประชุมรัฐสภา รัฐบาลมีการเรียกประชุมสภาฐานันดร แต่มีการแยกประชุมทำให้ตัวแทนฐานันดรที่ 3 ไม่พอใจ ........2.ฐานันดรที่ 3 แยกตัวออกไปตั้งสมัชชาแห่งชาติ ........3.การแหกคุกที่บาสเตียส์ จากความขัดแย้งระหว่างฐานันดร ทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ต้องใช้กำลังแก้ปัญหา จึงทำให้ประชาชนลุกฮือขึ้นมากต่อต้านรัฐบาล ลุกลามจนถึงการเข้าทำลายคุกบาสเตียร์ สถานที่คุมขังนักโทษทางการเมือง ผลการปฎิวัติฝรั่งเศสที่มีต่อชาวโลก ........1. เปลี่ยนจากการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาสู่ระบอบสาธารณรัฐ ........2. แนวคิดทางการเมือง เป็นเหตุการณ์ที่สร้างและเผยแผ่หลักการของแนวทางการเมืองใหม่ เช่น เสรีนิยม ชาตินิยม ขยายออกไปอย่างกว้างขวางและทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยและยังถือว่าเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของการเมืองโลก

19 กฎบัต่แมกนา คาร์ตา

19.กฏบัตรแมกนา คาร์ตา

กฎบัตรแมกนา คาร์ตา .........กฎบัตรแมกนา คาร์ตา ของอังกฤษเมื่อปี ค.ศ.1215 เป็นเอกสารที่ให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพแก่ราฎรของอังกฤษในสมัยพระเจ้าจอห์น ที่แมกนา คาร์ตา ได้ให้การรับรองสิทธิและเสรีภาพแก่ราษฎรของอังกฤษ .........มหากฎบัตรแมกนาคาร์ตา จัดทำขึ้น เมื่อ 21 มิถุนายน ค.ศ.1215 ซึ่งนับว่าเป็นเอกสารชิ้นแรกทางประวัติศาสตร์ ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน มีบทบัญญัติทั้งสิ้น 63 ข้อ .........มีกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอีก คือ “The Act of Habeas Corpus” เป็นกฎหมายฉบับที่ 2 บัญญัติขึ้นในปี ค.ศ. 1679 .........ต่อมาได้มีการประกาศใช้กฎหมาย “The English Bill of Rights” เป็นฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1689 กฎหมายฉบับนี้นับได้ว่าให้กำเนิดวิธีการพิจารณาคดีโดยลูกขุน มีสาระสำคัญคือ .........1. พระมหากษัตริย์จะเก็บภาษีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากที่ประชุมของพวกนักบวชและพวกขุนนางไม่ได้ .........2. การงดเว้นใช้หรือไม่ใช้กฎหมายบังคับแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะกระทำไม่ได้ (เข้ากับหลักความเสมอภาคทางกฎหมาย .........3. บุคคลใดจะจับกุม กักขัง ขับไล่ หรือริบทรัพย์ ผู้ใดผู้หนึ่งมิได้ เว้นแต่จะได้การพิจารณาโดยบุคคลชั้นเดียวกับเขา และกฎหมายบ้านเมือง (บัญญัติรับรองสิทธิของประชาชนในการเคลื่อนย้ายภายในประเทศ และการเดินทางออกนอกประเทศโดยเสรี) .........กฎบัตรแมกนา คาร์ตา ถือเป็นครั้งแรกที่ระบอบกษัตริย์ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อสภาขุนนาง ซึ่งถือเป็นตัวแทนของประชาชนมีอิทธิพลมาก .........ผลที่เกิดจากการลงนามในกฎแมกนา คาร์ตา ของพระเจ้าจอห์นที่ 5 มีผลทำให้พระราชอำนาจของมหากษัตริย์ถูกจำกัด โดยต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศ ไม่มีอำนาจสิทธิขาดเหมือนเดิมและแมกนา คาร์ตา ยังเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศอังกฤษ รวมถึงเป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญให้เกิดการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนในประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น

17 สงครามครูเสด

17.สงครามครูเสด

สงครามครูเสด ........สงครามคูเสดเป็นการทำสงครามระหว่างผู้นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามในช่วงยุคกลางหรือยุคมืดของยุโรป สงครามครูเสดถือเป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับความเสียหายอย่างมาก โดยมีการทำสงครามกันทั้งหมด 8 ครั้ง โดยชาวคริสต์ได้ยกทัพไปโอบตีผู้นับถือศาสนาอิสลาม เพื่อยึดเอาเมืองเยรูซาเล็มซึ่งถือเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของตน ........พวกเติร์กมุสลิมได้เข้ามาเป็นใหญ่เหนือ ดินแดนปาเลสไตน์ และได้ปล้นฆ่านักจาริกแสวงบุญ อย่างเหี้ยมโหดรวมทั้งทำลายโบสถ์ ของชาวคริสต์เกือบหมดสิ้น ในช่วงนี้มีพระคริสเตียนรูปหนึ่งนามว่า ปีเตอร์ เป็นชาวฝรั่งเศส ซึ่งชอบใช้ ชีวิตสันโดษ ได้จาริกไปยังนครเยรูซาเลม โดยที่นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ ปอนๆ และพำนักอาศัยอยู่ใน ถ้ำตามภูเขา ทำให้ผู้คนมีความชื่นชมศรัทธาและขนานนามให้ว่า ปีเตอร์มหาฤาษี นักจาริกแสวงบุญจากการ ป่าวร้องของนักบุญปีเตอร์ ต่างก็โกรธแค้นและหลั่งไหลกันมาฝรั่งเศสจากทั่วยุโรป เพื่อสมัครไปรบแย่งชิง นครเยรูซาเลม คืน โดยสังฆนายกเออร์บันได้กำหนดให้ทุกคนที่ไปรบ ติดเครื่องหมายกางเขนไว้ที่ตัว กองทัพนี้จึงได้ชื่อว่า ครูเสด คือมาจากคำว่า ที่หมายถึงไม้กางเขน สาเหตุของสงครามครูเสด ........1.สงครามครูเสด ระหว่างคริสตจักรทางภาคตะวันตกกับทางภาค รบเพื่อทวงคืนเมืองสถานที่สำคัญโดยเฉพาะวิหารแห่งเมืองเยรูซาเล็ม และหยุดยั้งการแพร่ขยายของศาสนาอิสลามที่เป็นไปอย่างรวดเร็วจนก่อให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นทั่วไปในหมู่ชาวคริสเตียนในยุโรป ด้วยเหตุดังกล่าว ในศตวรรษที่ 11 ชาวคริสเตียนจึงได้ส่งกองกำลังมาปะทะกับมุสลิม ........2.ความกระตือรือร้นในการแสวงบุญของชาวคริสเตียนยังนครเยรูซาเล็มมีมากกว่าที่เคยเป็นมา ในช่วงนั้น เยรูซาเล็มตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิม ผู้แสวงบุญชาวคริสเตียนจึงมีความต้องการดินแดนเยรูซาเล็มเป็นของตนเอง เพื่อความสะดวกในการแสวงบุญมากยิ่งขึ้น ........3.ช่วงเวลาระหว่างนั้น เป็นระยะเวลาที่เกิดความแตกแยกทั่วไปในยุโรป พวกเจ้าเมืองต่างๆ ต่างก็ต่อสู้ทำสงครามซึ่งกันและกัน พระสันตะปาปามีความเห็นว่าถ้าปล่อยให้อยู่ในสภาพเช่นนี้จะทำให้ชาวคริสเตียนในยุโรปต้องอ่อนแอลง เขาจึงยุยง ปลุกระดมให้ประชาชนหันมาต่อสู้กับชาวมุสลิมแทนโดยอ้างว่าจะได้รับกุศลผลบุญ และเพื่อเอานครอันศักดิ์สิทธิ์ เยรูซาเล็มกลับคืนมา
........4.มุสลิมได้กลายเป็นมหาอำนาจทางการค้าแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา การค้าพาณิชย์ในทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนจึงตกอยู่ในความควบคุมของมุสลิมอย่างเต็มที่ ดังนั้นชาวคริสเตียนในยุโรปจึงต้องทำสงครามกับมุสลิมเพื่อหยุดยั้งความเจริญก้าวหน้าของมุสลิม ........5.สันตะปาปา เออร์แบนที่ 2 ประสงค์จะรวมคริสต์จักรของกรีกมาไว้ใต้อิทธิพลของท่านด้วย จึงได้เรียกประชุมชาวคริสเตียนที่เมืองเลอมองค์ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ.1095 และรบเร้าให้ชาวคริสเตียน ทำสงครามกับชาวมุสลิม ภายในเวลาไม่นานก็รวบรวมคนได้ถึง 150,000 คน ส่วนมากเป็นชาวแฟรงค์และนอร์แมน โดยคนเหล่านี้ได้มาชุมนุมกันที่เมืองเยรูซาเล็ม

16 สงครามเย็น

16.สงครามเย็น

สงครามเย็น ........ในปี พ.ศ. 2490-2534 หรือ ค.ศ. 1947-1991 สงครามเย็นถูกก่อตัวขึ้นจากพัฒนาการสำคัญ คือ ........การแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ........การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการทำสงคราม ........ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ข้ามชาติ ........การปฏิรูปและการปฏิสังขรณ์ของระบบทุนนิยมโลก ........และกระบวนการปลดปล่อยแห่งชาติ ........การต่อสู้แข่งขันระหว่างสหรัฐและโซเวียตในเรื่องเหล่านี้ ได้แบ่งโลกออกเป็น 2 ขั้วการเมืองและการทหาร ........ทั้งสองฝ่ายได้แข่งขันในด้านการสะสมอาวุธ เทคโนโลยีอวกาศ การจารกรรม เศรษฐกิจ และทำสงครามผ่านสงครามตัวแทน ........ชนวนของสงครามเย็นเกิดจากสหภาพโซเวียต ไม่ยอมถอนกำลังทหารออกจากเยอรมันตามสัญญา ฝ่ายสงครามแบ่งได้ 3 ฝ่าย ได้แก่ ........1. ฝ่ายโลกเสรี ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ เกาหลีใต้ เยอรมันตะวันตก เวียดนามใต้ ไทย ........2. ฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ ได้แก่ สหภาพโซเวียต เกาหลีเหนือ เยอรมันตะวันออก เวียดนามเหนือ ออสเตรีย ........3.ฝ่ายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ได้แก่ อินโดนีเซีย ยูโกสลาเวีย สวิตเซอร์แลนด์ ........ระยะแรกของสงครามสหภาพโซเวียตมีนโยบายสร้างความมั่นคงให้กับระบบคอมมิวนิสต์ทั้งภายในและภายนอกสหภาพโซเวียต ........ซึ่งรวมถึงหมู่ประเทศพันธมิตรที่อยู่ภายใต้อาณัติของสหภาพโซเวียตด้วย ในขณะที่สหรัฐฯ นั้นมีความชัดเจนที่จะดำเนินการวิธีใด ๆ ก็ตามที่สามารถสกัดกั้นการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ........ระยะแรกช่วงตึงเครียดเกิดในสมัยประธานาธิบดีทรูแมน ฝ่ายสหรัฐอเมริกา กับ สตาลินฝ่ายสหภาพโซเวียตโดย ........1.ก่อตั้งองค์กร NATO , SEATO, ANZUS กับ WARSAW, อินโดจีน ........2. สหรัฐอเมริกาใช้แผน Marshall ให้การสนับสนุนเยอรมันตะวันตกและยุโรปตะวันตก ส่วนโซเวียตใช้แผน Comecon ให้การสนับสนุนเยอรมันตะวันออก และยุโรปตะวันออก และมีการใช้ทฤษฏีโดมิโน
........ระยะผ่อนคลายเกิดในสมัยประธานาธิบดี นิกสันกับมิคาเอล กอร์บาชอฟ โดย ........1.มีการเจรจาลดอาวุธ หรือที่เรียกว่า SALT โดยสหรัฐฯ ได้มีนโยบายการต่างประเทศกับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ผ่อนคลายลง ........2.สหภาพโซเวียตก็มีท่าที่ผ่อนคลายลง มีการเปิดประเทศให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ที่รู้จักกันในชื่อ กลาสนอสท์(Glasnost) และเปเรสตรอย(Perestroika) ........ระยะสุดท้ายเกิดในสมัยประธานาธิบดี โรแนลด์ เรแกน กับ มิคาเอล กอร์บาชอฟ โดยมีความตึงเครียดเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะเรแกนทำโครงการ Star War ต่อมาในสมัยปรธานาธิบดี จอร์จ บุช สงครามเย็นได้จบสิ้นลงแบบถาวร โดยได้ทำลายกำแพงเบอร์ลิน อันเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกยุโรปตะวันตกกับยุโรปตะวันออกออกจากกันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดสงครามเย็นในปี ค.ศ. 1991 สงครามตัวแทน ........1.ความขัดแย้งในเยอรมัน มีการสร้างกำแพงเบอร์ลิน เป็นกำแพงที่กั้นเบอร์ลินตะวันตก ออกจากเยอรมนีตะวันออกโดยรอบ โดยกำแพงเบอร์ลินนี้ได้ถูกสร้างไว้เป็นระยะเวลา 28 ปี ก่อนจะทลายลงในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ.1989) เยอรมันทั้งสองประเทศได้ผนวกเข้าเป็นประเทศเดียวกัน ........2.สงครามเกาหลี เกาหลีเหนือเป็นประเทศที่ปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ ส่วนเกาหลีใต้ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ........3.สงครามอินโดจีน ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรอินโดจีนหลัก ๆ จะเป็นประเทศ เวียดนาม ลาว กัมพูชา ซึ่งเคยเป็นประเทศอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส ........4.สงครามเวียดนาม การสู้รบในสงครามเวียดนามได้เปลี่ยนโฉมหน้าของการทำสงครามสมัยใหม่ด้วยบทเรียนราคาแพงของสหรัฐฯ นำมาซึ่งการถอนตัวออกจากภูมิภาคนี้เมื่อ สหรัฐฯ ไม่สามารถสร้างชัยชนะขึ้นได้ในดินแดนเวียดนาม ........5.สงครามในลาว ขบวนการกู้ชาติที่มีความนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ ไม่ยอมรวมกับฝ่ายรัฐบาลที่นิยมประชาธิปไตย (เป็นรัฐบาลที่ฝรั่งเศสได้จัดตั้งก่อนจะถอนทหารออก) เลยส่งผลให้สงครามในลาวที่ต่อสู้เพื่อเอกราชเปลี่ยนสถานภาพไปสู่สงครามระหว่างลัทธิ ........6.สงครามกัมพูชา เกิดการรัฐประหาร จึงทำให้เจ้าสีหนุ จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น เรียกว่า เขมรแดง

15 สงครามโลกครั้งที่ 2

15.สงครามโลกครั้งที่ 2

สงครามโลกครั้งที่ 2 ........1 กันยายน พ.ศ. 2482(ค.ศ. 1939) - 2 กันยายน พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 ........1.ความไม่ยุติธรรมของสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เยอรมนีต้องรับผลจากการสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างรุนแรง ........2.ความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบเผด็จการ ........3.ลัทธิชาตินิยมในประเทศเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ........4.ลัทธินิยมทางทหาร ........5.นโยบายต่างประเทศที่ไม่แน่นอนของอังกฤษ ........6.ความอ่อนแอขององค์การสันนิบาตชาติ ........7.บทบาทของสหรัฐอเมริกา ........8.สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ........โดยชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อกองทัพเยอรมนีบุกโปแลนด์เมื่อ 1 กันยายน 1939 ........เนื่องจากโปแลนด์ปฏิเสธที่จะยกเมืองท่า ดานซิก และฉนวนโปแลนด์ในเยอรมนี อังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งมีสัญญาค้ำประกันเอกราชของโปแลนด์ ........อังกฤษและฝรั่งเศส จึงยื่นคำขาดได้เยอรมันถอนทหารออกจากโปแลนด์ เมื่อฮิตเลอร์ไม่ปฏิบัติตาม ........ทั้งสองประเทศจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี เมื่อเริ่มสงครามนั้น ประเทศคู่สงครามแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ........ฝ่ายอักษะ ได้แก่ เยอรมนี อิตาลีและญี่ปุ่น ........ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย มีเหตุการณ์สำคัญต่างๆดังนี้ ........วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) เยอรมันรุกรานโปแลนด์, ........วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) ญี่ปุ่นรุกรานจีน (วันเริ่มต้นสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2) ........ในปี พ.ศ. 2474 (ค.ศ. 1931) ญี่ปุ่นรุกแมนจูเรีย ........สมรภูมิในแปซิฟิคและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือหลักของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ ........และการบุกยึดประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือหลักของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์
........และการบุกยึดประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทยในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 ........ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นได้บุกไปถึงพม่า นิวกินี และ เกาะกัวดาคาแนล ........ซึ่งปรากฏว่าหลังจากสมรภูมิที่มิดเวย์ การรบทางทะเลแถวหมู่เกาะโซโลมอนและทะเลปะการัง และการรบที่กัวดาคาแนลแล้ว ........ปรากฏว่ากองทัพเรือญี่ปุ่นต้องสูญเสียอย่างหนัก ส่วนกองทัพบกก็ไม่สามารถหากำลังพลและยุทโธปกรณ์ได้เพียงพอ เพื่อปกป้องดินแดนที่ยึดได้ใหม่ ........ในที่สุดจึงถูกกองกำลังพันธมิตรที่มีสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลียตีโต้กลับไปจนนำไปสู่ความพ่ายแพ้ในที่สุด ........สาเหตุที่ไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง เหตุเพราะเรามีกำลังน้อยเมื่อญี่ปุ่นบุกจึงไม่สามารถต่อต้านได้ และเพื่อป้องกันมิให้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของญี่ปุ่นในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ผลของสงครามต่อไทย คือ ........1.ไทยต้องส่งทหารไปช่วยญี่ปุ่นรบ ........2.ได้ดินแดนเชียงตุง และสี่จังหวัดภาคใต้ที่ต้องเสียแก่อังกฤษกลับมา แต่ต้องคืนให้เจ้าของเมื่อสงครามสงบลง ........3.กิดขบวนการเสรีไทย ซึ่งให้พ้นจากการยึดครอง ........4.ไทยได้รับเกียรติเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ........สงครามในยุโรปสิ้นสุดเมื่อเยอรมนียอมจำนนในวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ในเอเชียยังดำเนินต่อไปจนกระทั่งญี่ปุ่นยอมจำนนในวันที่ 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน ผลของสงครามโลกครั้งที่สอง ........1.มีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติเพื่อดำเนินงานแทนองค์การสันนิบาตชาติ ........2.เกิดการแบ่งขั้วอย่างชัดเจนของสองมหาอำนาจจนนำไปสู่เกิดสงครามเย็นและการแบ่งกลุ่มประเทศระหว่างโลกเสรีประชาธิปไตยกับโลกคอมมิวนิสต์ ........3.เกิดมหาอำนาจของโลกใหม่ คือ สหรัฐอเมริกา และ สหภาพโซเวียต ........4.สภาพเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ........5.สหรัฐฯได้เข้าปกครองญี่ปุ่นเป็นเวลานานถึง 6 ปี

14 การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมโลก

14.การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมโลก

การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมโลก ........วัฒนธรรมเป้นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นโดยเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงางด้านวัฒนธรรมของโลก ได้แก่ ระบบฟิวดัสในยุโรป การฟื้นฟูศิลปวิทยาการและการปฏิรูปศาสนา ........1. ระบบฟิวดัส หรือระบบสวามิภักดิ์ เป็นรูปแบบการปกครองของยุโรปในยุคกลาง เนื่องจากอำนาจของกษัตริย์เสื่อมอำนาจลงจึงมีการแย่งชิงอำนาจกันอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มผู้ปกครองในท้องถิ่น โดยราษฎรที่อาศัยอยู่ในแต่ละท้องถิ่นจะต้องพึ่งพาอาศัยขุนนางที่มีอำนาจอยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ ส่งผลทำให้ขุนนางเป็นผู้ที่มีอำนาจมาก โดยระบบฟิวดัสเป็นระบบอุปถัมภ์โดยมีที่ดินเป็นสิ่งกำหนดฐานะและลักษณะของความสัมพันธ์ของคนในสังคมซึ่งประกอบด้วย 2 ฝ่าย คือ มูลนายหรือลอร์ด และอีกฝ่ายเป็นข้ารับใช้ ผลกระทบของระบบฟิวดัสต่อพัฒนาการด้านต่างๆของยุโรป ................1. พัฒนาการทางด้านการเมืองการปกครอง ระบบนี้มีการกระจายอำนาจให้ขุนนางไปปกครองในแต่ละท้องถิ่นเป็นการส่งเสริมให้ขุนนางเป็นผู้ที่มีอำนาจในการปกครองเพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดความสามัคคีกันของประชาชนในแต่ละท้องถิ่น ................2. พัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจ ระบบฟิวดัสมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากที่ดินระหว่างมูลนายกับข้ารับใช้เป็นเศรษฐกิจที่เพียงพอต่อการเลี้ยงตนเอง ................3. พัฒนาการทางด้านสังคมวัฒนธรรม ทำให้เกิดชนชั้นที่สำคัญในสังคม 3 ชนชั้น ประกอบด้วย ชนชั้นปกครอง มี กษัตริย์ ขุนนางและอัศวิน ชนชั้นพระ และชนชั้นกลางหรือพวกพ่อค้า ........ความเสื่อมของระบบฟิวดัส เกิดขึ้นในช่วงของคริสต์ศตวรรษที่ 11 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจของยุโรปมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ประชาชนหันมาติดต่อค้าขายกันมากขึ้นจึงมีการผลิตสินค้าเพื่อส่งขายจำนวนมากสร้างความร่ำรวยให้กับชนชั้นกลางหรือพ่อค้า อาชีพเกษตรกรรมไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ประชาชนส่วนใหญ่หันไปสะสมวัตถุเพื่อสร้างความร่ำรวยและความสุขสบายให้กับตนเองมากขึ้น ทำให้ระบบฟิวดัสในยุโรปสิ้นสุดลง
........2. การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 14 – 17 โดยเป็นยุคที่ชาวยุโรปมีการฟื้นฟูศิลปวิทยาการต่างๆของกรีกและโรมันกลับมาศึกษาอีกครั้งหนึ่ง เป็นยุคที่ยกย่องเห็นคุณค่าของมนุษย์โดยเน้นมนุษย์นิยมมากขึ้น สนใจในวิชาศิลปศาสตร์เพื่อปลดปล่อยจิตวิญญาณให้เป็นอิสระจากการควบคุมของศาสนจักร ........3. การปฏิรูปศาสนา เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 16 ในทวีปยุโรป ซึ่งเป็นช่วงของปลายยุคกลางซึ่งถือเป็นยุคมืดที่คริสตจักรมีอิทธิพลปกครองไปทั่วยุโรป การปฏิรูปศาสนาเริ่มโดยมาร์ติน ลูเทอร์ ค.ศ. 1517 ได้มอบข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปศาสนา 95 ข้อแก่ศาสนจักรเพื่อแก้ไขความเสื่อมโทรมของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกแลสะสถาบันสันตะปาปา ผลคือ ลูเทอร์ถูกประกาศให้เป็นคนนอกรีตและต้องหลบซ่อนตัวอยู่เป็นเวลานานและทำให้ตั้งนิกายลูเทอร์รันขึ้นในเยอรมัน

13 การปฏิวัติอุตสาหกรรม

13. การปฏิวัติอุตสาหกรรม

การปฏิวัติอุตสาหกรรม คือ

........การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ด้านเทคนิควิธีและเทคโนโลยีในการผลิตจากเดิมที่ใช้แรงงานคนหรือแรงงานสัตว์มาเป็นกระบวนการผลิตที่ใช้เครื่องจักรกลที่มีความสลับซับซ้อนและให้ผลผลิตได้ในปริมาณมาก ........การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษในราวปีค.ศ. 1760 และได้แพร่หลายไปยังประเทศตะวันตกต่างๆ ตลอดจนภูมิภาคอื่นของโลกในเวลาต่อมา ........การปฏิวัติอุตสาหกรรมจึงนับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่มีผลกระทบต่อการเมืองการปกครอง สังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของมนุษยชาติทั่วโลก โดยแบ่งระยะเวลาออกเป็น 2 ช่วงคือ ........1. การปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะแรก เกิดขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1760 - 1850 การปฏิวัติอุตสาหกรรม ช่วงแรกเริ่มขึ้นเมื่อมีการประดิษฐ์สิ่งที่ใช้ทดแทนแรงงานคนในอุตสาหกรรมการทอผ้าของอังกฤษ ........การประดิษฐ์ที่สําคัญ เช่น การประดิษฐ์เครื่องทอผ้าแบบกระสวยพุ่งหรือกี่กระตุกของจอห์น เคย์ ชาวอังกฤษ ........การผลิตเครื่องปั่นด้ายชนิดที่สามารถปั่นด้ายได้ครั้งละหลายเส้นของเจมส์ ฮาร์กรีฟส์ ชาวอังกฤษ ........และการผลิตเคร่ื่องแยกเมล็ดฝ้ายออกจากเส้นใยของอีไล วิทนีย์ ชาวอเมริกัน ........นวัตกรรมเหล่านี้ทําให้การปลูกฝ้ายและความต้องการแรงงานไร่ฝ้ายขยายตัวอย่างรวดเร็ว ........การประดิษฐ์ที่มีการพัฒนาควบคู่กับการทอผ้า คือ เครื่องจักรไอน้ำ ซึ่งได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเจมส์ วัตต์ ชาวสก็อตแลนด์ ........พลังไอน้ําได้ถูกนำมาใช้ขับเคลื่อนเครื่องจักรในอุตสาหกรรมทอผ้า และได้ขยายไปสู่การผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเหมืองแร่หรือเหล็ก ........สิ่งประดิษฐ์อีกประเภทที่มีชื่อเสียงมากในยุคนี้ ได้แก่ หัวรถจักรไอน้ำที่มีชื่อว่า “Rocket” ของจอร์จ สตีเฟนสัน ชาวอังกฤษ​ ........หัวรถจักรไอน้ำของสตีเฟนสันนับเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ยุคการใช้รถไฟโดยสาร และทําให้มีการเปิดบริการเส้นทางรถไฟสายแรกของโลกระหว่างเมืองลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ในอังกฤษ ........2. การปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะที่ 2 เป็นยุคที่มีการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาการผลิตภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ในยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะที่ 2 ........ถ่านหินและเครื่องจักรไอน้ำลดความสำคัญลง และเริ่มถูกแทนที่ด้วยพลังงานใหม่อย่างเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ น้ำมันปิโตรเลียมและพลังงานไฟฟ้า ........โดยอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตเครื่องจักรกลที่ทำด้วยเหล็กกล้าและอุตสาหกรรมเคมี ........ยุคนี้มีนักประดิษฐ์คนสำคัญหลายคน อาทิเช่น เฮนรี เบสเซเมอร์ ชาวอังกฤษผู้ค้นพบวิธีทำเหล็กถลุงให้มีคุณสมบัติดีขึ้นหรือทีี่เรียกว่าเหล็กกล้า ........และซิดนีย์ กิลไครสต์ โทมัส ชาวอังกฤษผู้​ค้นพบวิธีกำจัดฟอสฟอรัสออกจากน้ำเหล็ก ที่ได้จากกรรมวิธีเบสเซเมอร์ ........เหล็กกล้าจึงเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมและการก่อสร้างหลากหลายประเภท ต่อมาในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ........ได้มีการประดิษฐ์เครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินขึ้น โดยคาร์ล เบนซ์และกอตต์ลีบ เดมเลอร์ ชาวเยอรมัน ........สามารถนำเครื่องยนต์เบนซินมาใช้กับรถยนต์เป็นผลสำเร็จ
........นอกจากนี้ยังมีอเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ ชาวสก็อตแลนด์ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์ ........และโทมัส อัลวา เอดิสัน ชาวอเมริกันที่ได้ทำการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ดั้งเดิมตั้งแต่โทรศัพท์ เครื่องส่งโทรเลข เครื่องขยายเสียงไปจนถึงหลอดไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ........กระบวนการปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะแรกและระยะที่ 2 นั้นไม่อาจที่จะแยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด ........เพราะวิวัฒนาการของการปฏิวัติอุตสาหกรรมทั้งสองช่วง มีความเชื่อมโยงกัน การปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะที่ 1 และ 2 นั้น ยังถือเป็นยุคก่อกำเนิดพัฒนาการของความรู้ต่างๆ ของโลกปัจจุบัน ตลอดจนวางโครงสร้างของระบบโลกในทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

10 การแบ่งยุคประวัติศาสตร์

10.การแบ่งยุคประวัติศาสตร์ไทย

การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ เป็นการแบ่งช่วงเวลา โดยกำหนดให้เชื่อมโยงกับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์
โดยประวัติศาสตร์ไทยมีการแบ่งยุคสมัยคล้ายกับประวัติศาสตร์สากล คือ แบ่งออกเป็นสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ และในแต่ละสมัยก็ได้ถูกแบ่งเป็นยุคสมัยย่อยๆลงไปอีกเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดังนี้
........1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นสมัยที่ยังไม่ปรากฏลายลักษณ์อักษรเพื่อใช้ในการสื่อสาร ดังนั้นการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ยุคนั้นจึงต้องอาศัยหลักฐานเครื่องมือเครื่องใช้และร่องรอยต่างๆที่เหลือทิ้งไว้ สมัยก่อนประวัติศาสตร์นิยมแบ่งช่วงเวลาออกเป็นยุคหินกับยุคโลหะ

................1.1 ยุคหิน คือ ยุคที่มนุษย์รู้จักนำหินมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ แบ่งย่อยออกเป็นยุคต่างๆตามลักษณะของเครื่องมือหิน ได้แก่
........................1.1.1 ยุคหินเก่า มีอายุประมาณ 500,000 - 10,000 ปีมาแล้ว ตัวอย่างแหล่งชุมชนมนุษย์ยุคหินเก่าในดินแดนไทย เช่น ถ้ำพระ จังหวัดกาญจนบุรี บ้านแม่ทะ จังหวัดลำปาง เป็นต้น
........................1.1.2 ยุคหินกลาง มีอายุประมาณ 10,000 - 6,000 ปีมาแล้ว ตัวอย่างแหล่งมนุษย์ยุคหินกลางในดินแดนไทย เช่น ถ้ำไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ถ้ำหมอเขียว จังหวัดกระบี่ เป็นต้น
........................1.1.3 ยุคหินใหม่ มีอายุประมาณ 6,000 - 4,000 ปีมาแล้ว ตัวอย่างแหล่งมนุษย์ยุคหินใหม่ในดินแดนไทย เช่น บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น

................1.2 ยุคโลหะ คือ ยุคที่มนุษย์รู้จักนำโลหะมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ แบ่งตามชนิดของวัสดุเป็น 2 ยุค ได้แก่
........................1.2.1 ยุคสำริด มีอายุประมาณ 4,000 - 2,500 ปีมาแล้ว ตัวอย่างแหล่งมนุษย์ยุคสำริดในดินแดนไทย เช่น บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น
........................1.2.2 ยุคเหล็ก มีอายุประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว ตัวอย่างแหล่งมนุษย์ยุคเหล็กในดินแดนไทย เช่น บ้านดอนตาเพชร จังหวัดกาญจนบุรี บ้านโนนนกทา จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น

........2. สมัยประวัติศาสตร์ สมัยประวัติศาสตร์เป็นสมัยที่ปรากฏหลักฐานลายลักษณ์อักษรที่ใช้ในการสื่อสาร การแบ่งช่วงสมัยประวัติศาสตร์ไทยโดยละเอียดมีดังนี้

................2.1 สมัยก่อนการตั้งอาณาจักรสุโขทัย เช่น อาณาจักรละโว้ (พุทธศตวรรษที่ 12 - 18) อาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11 - 16) เป็นต้น
................2.2 สมัยสุโขทัย เริ่มตั้งแต่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นครองราชย์สมบัติและสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานีเมื่อพ.ศ. 1781 สมัยสุโขทัยเป็นช่วงที่มีการสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทยหลายประการ แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ กำเนิดลายสือไทยหรือตัวหนังสือไทยที่ได้รับการประดิษฐ์ขึ้นโดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
................2.3 สมัยอยุธยา อาณาจักรอยุธยาเป็นราชธานีที่ยาวนานที่สุดถึง 417 ปีตั้งแต่พ.ศ. 1893 - 2310
................2.4 สมัยธนบุรี อาณาจักรธนบุรีมีพระมหากษัตริย์ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในระยะเวลาเพียง 15 ปีตั้งแต่พ.ศ. 2310 - 2325  
................2.5 สมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่พ.ศ. 2325 - ปัจจุบัน  ซึ่งสามารถแบ่งเป็นสมัยย่อยได้ ดังนี้
........................2.5.1 สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อยู่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 3 ถือเป็นช่วงการฟื้นฟูอาณาจักรในทุกด้านต่อจากสมัยธนบุรี
........................2.5.2 สมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง ยุคปรับปรุงประเทศ อยู่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7 เป็นช่วงที่มีการติดต่อกับต่างชาติและปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยตามแบบตะวันตก ไปจนถึงเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย
........................2.5.3 สมัยประชาธิปไตย นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีรัฐธรรมนูญเป็นกฏหมายสูงสุดในการปกครองประเทศเมื่อปีพ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน

9.การแบ่งยุคประวัติศาสตร์ของอินเดีย

การแบ่งยุคประวัติศาสตร์ของอินเดียมีการแบ่งเป็นยุคสมัยย่อยตามช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์ ที่มีอิทธิพลเหนืออินเดียขณะนั้น
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ โดยมีพวกดราวิเดียน เมื่อ 2,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช จนกระทั่งอารยธรรมแห่งนี้ล่มสลายลงเมื่อ 1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช
เมื่อชนชาวอารยันอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน และก่อตั้งอาณาจักรหลายอาณาจักรในภาคเหนือของอินเดีย นับว่าเป็นช่วงเวลาที่การเริ่มสร้างสรรค์อารยธรรมอินเดียที่แท้จริง
มีการก่อตั้งศาสนาต่าง ๆ เรียกว่า สมัยพระเวท (1,500 – 900 ปีก่อนคริสต์ศักราช) สมัยมหากาพย์ (900 – 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
ต่อมาอินเดียรวมตัวกันในสมัยราชวงศ์มคธ (600 – 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช) และมีการรวมตัวอย่างแท้จริง ในสมัยราชวงศ์เมารยะ (321 - 184 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ระยะเวลานี้เป็นเวลาที่อินเดีย เปิดเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนต่าง ๆ
ต่อมาราชวงศ์เมารยะล่มสลาย อินเดียก็เข้าสู่สมัยแห่งการแตกแยก และการรุกรานจากภายนอก จากพวกกรีกและพวกกุษาณะ ระยะเวลานี้เป็นสมัยการผสมผสานทางวัฒนธรรม ก่อนที่จะรวมเป็นจักรวรรดิได้อีกครั้งใน ค.ศ. 320 โดยราชวงศ์คุปตะ (สมัยคุปตะ ค.ศ. 320 – ค.ศ. 535)

ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยกลาง
.......อินเดียเข้าสู่สมัยกลาง ค.ศ. 535 – ค.ศ. 1525 สมัยนี้เป็นช่วงเวลาของความวุ่นวายทางการเมือง และการรุกรานจากต่างชาติ โดยพาะชาวมุสลิม สมัยกลางจึงเป็นสมัยที่อารยธรรมมุสลิมเข้ามามีอิทธิพลในอินเดีย
.......อินเดียสมัยใหม่ภายใต้จักรวรรดิโมกุล ค.ศ. 1526-ค.ศ.1858 เป็นจักรวรรดิที่ปกครองโดยชาวมุสลิม มีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยพระเจ้าอักบาร์มหาราช มีความสามารถในด้านการรบ

สมัยประวัติศาสตร์
.......มีการใช้ตัวอักษรโบราณที่เรียกว่า “บรามิลิป” ประมาณ 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช
.......พวกอินโด-อารยัน ได้ปกครองพวกดราวิเดียนที่เป็นชาวพื้นเมืองเดิม สร้างอารยธรรมต่างๆ

อารยธรรมพระเวท
ชนเผ่าอารยัน เป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินอินเดียมาก่อนหรือหลังอารยธรรมสินธุ ยังเป็นประเด็นโต้แย้งกันอยู่ แม้ในปัจจุบันนี้
แนวความคิดที่ยึดถือโดยคนส่วนใหญ่เชื่อว่า ชนเผ่าอารยันเข้ามาสู่อินเดียหลังจากความเจริญสูงสุดของอารยธรรมสินธุผ่านไปแล้ว
และชาวอารยัน ได้สร้างอารยธรรมของตนเองขึ้นมาในรูปแบบและเนื้อหาที่แตกต่างไปจากอารยธรรมสินธุเดิม แต่ก็ยังมีบางแนวคิดที่เชื่อว่า ชนเผ่าอารยันอยู่บนแผ่นดินอินเดียมานานแล้ว แต่ไม่ได้มีบทบาทในการสร้างวัฒนธรรมที่เป็นกระแสหลักของสังคม
จวบจนเมื่ออารยธรรมสินธุเสื่อมลง จึงทำให้วัฒนธรรมของพวกอารยันกลายมาเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก และพัฒนามาเป็นอารยธรรมในเวลาต่อมา

คัมภีร์พระเวท คือ หลักฐานทางจินตนาการที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของพวกอารยัน จินตนาการอันงดงามและทรงพลังของชาวอารยัน ได้ถูกสร้างสรรค์ ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนปรากฏเป็นรูปคัมภีร์ที่รู้จักกันในชื่อ "ไตรเวท" (คัมภีร์พระเวททั้ง 3 ) ได้แก่
.......1. ฤคเวท
.......2. ยชุรเวท
.......3. สามเวท
(พระเวทที่ 4 คือ อถรวเวท หรือ อาถรรพเวท เกิดขึ้นในภายหลัง)

คัมภีร์พระเวทนี้ ได้กลายมาเป็นรากฐานของอารยธรรมอินเดียในเวลาต่อมา และสืบทอดกันมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

ด้วยรากฐานคือคัมภีร์พระเวทนี้เอง ที่เป็นฐานให้เกิดคัมภีร์อื่นคือ คัมภีร์พราหมณ, คัมภีร์อุปนิษัท, ตลอดทั้งมหากาพย์และวรรณกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ที่กลายมาเป็นจินตนาการอันทรงพลังให้กับความเจริญรุ่งเรืองของสังคมอินเดียในเวลาต่อมา
.......จินตนาการอันงดงามและทรงพลังของชาวอารยัน ได้กลายมาเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตและกฎระเบียบทางสังคม ในแง่ของสังคม ได้เกิดระบบวรรณะที่ทรงพลัง จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของสังคมอินเดีย วรรณะทั้ง 4 คือ
.......1. พราหมณ์
.......2. กษัตริย์
.......3. แพศย์
.......4. ศูทร

8.การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของจีน

........อารยธรรมของจีนเริ่มปรากฏในบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลือง ประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช แบ่งยุคดังนี้

1.ก่อนประวัติศาสตร์
........1. วัฒนธรรมหยางเชา ที่บริเวณมณฑลเหอหนานและบริเวณมณฑลเกียงทาง พบเครื่องปั้นดินเผาที่มีสีแดง ดำรงชีพด้วยการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์
........2. วัฒนธรรมลุงซาน มณฑลชานตุง พบเครื่องปั้นดินเผาสีดำขัดมัน เป็นเงา เนื้อบางละเอียดกว่าเครื่องปั้นสีแดง

2.สมัยประวัติศาสตร์
........สมัยราชวงศ์ซาง , อินซาง
........เดิมชื่อราชวงศ์ซาง ต่อมามีการย้ายเมืองหลวงถึง 5 ครั้ง ครั้งสุดท้ายอยู่ที่เมืองเมืองอิน จึงเปลี่ยนชื่อเป็นราชวงศ์อิน บางคนก็เรียกราชวงศ์อินซาง จัดเป็นยุคที่ไสยศาสตร์เฟื่องฟู นิยมการเสี่ยงทายด้วยกระดองเต่ากันมาก ตัวอักษรจีนเริ่มต้นพัฒนามาจากราชวงศ์นี้ เรียกว่า ตัวอักษรเจี๋ยกู่เหวิน (อักษรกระดูก) โจ้ว ที่เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซาง ซึ่งในประวัติศาสตร์ประณามไว้ว่า เป็นคนโหดร้ายทารุณมาก นิยมการสงคราม และหลงใหลในอิสตรี โดยเฉพาะสนมเอกชื่อ ต๋าจี หรือขันกี ซึ่งเป็นคนวิปริตผิดมนุษย์ คอยยุยงให้โจ้วฆ่าคนเป็นผักปลา สร้างสระเหล้าดงเนื้อขึ้น (เอาน้ำเหล้ามาใส่ในสระ แล้วเอาเนื้อสัตว์มาห้อยไว้ตามต้นไม้)

มีลักษณะที่สำคัญดังนี้
........การปกครอง แบบนครรัฐ กษัตริย์เป็นผู้นำ
........สังคม ประชาชนมีความเป็นอยู่เรียบง่าย อาศัยในกระท่อมสร้างจากดินเหนียว
........สภาพเศรษฐกิจ ประชาชนมีอาชีพเกษตรเป็นหลัก ใช้เปลือกหอยเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน
........ภาษา มีอักษรใช้แล้ว

........จีนสมัยสามก๊กและยุคมืดมน เป็นช่วงที่ประชากรจีนเพิ่มมากขึ้น เป็นชาวจีนที่เกิดจากการผสมทางสายเลือด ได้รับวัฒนธรรมจากชาวฮั่น พุทธศาสนามีการปกครองจีนหลายราชวงศ์ ราชวงศ์ถัง ยุคของความเจริญในทุกด้าน ราชวงศ์ซ้อง มีความเจริญด้านการเดินเรือ ราชวงศ์หยวน ราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ชิง ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

........สมัยสาธารณรัฐและสมัยสาธารณรัฐประชาชนจีน ความเสื่อมของราชวงศ์แมนจูที่เปิดโอกาสให้ชาติตะวันตกเข้ามามีอำนาจเหนือดินแดนจีน เกิดขบวนการปฏิวัติเพื่อโค่นล้มราชวงศ์แมนจูจากกลุ่มปัญญาชนที่ไปศึกษาต่างประเทศ ผู้นำขบวนการปฏิวัติ คือ ดร.ซุน ยัดเซ็น เป็นการสิ้นสุดจักรพรรดิของจีน ใน พ.ศ. 1921 พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนได้ก่อตั้งขึ้น เนื่องจากปัญญาชนของจีนหันไปหาแนวทางใหม่ในการแก้ปัญหา ได้ต่อสู้กับรัฐบาลจีนจนได้รับชัยชนะ แล้วนำแนวทางสังคมนิยมมาใช้ในประเทศจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 โดยการนำของเหม๋า เจ๋อ ตุง และจีนมีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ถึงปัจจุบัน

7.อารยธรรมตะวันตก

อารยธรรมตะวันตก แบ่งออกเป็น 4 ยุค คือ
  1. ยุคโบราณ
  2. ยุคกลาง
  3. ยุคฟื้นฟูวัฒนธรรม
  4. ยุคใหม่

ยุคโบราณ
.......1. อารยธรรมตะวันตกในยุคโบราณเป็นอารยธรรมในลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรตีส
.......เริ่มตั้งแต่เมื่อชนชาวสุเมเรียนประดิษฐ์ตัวอักษรรูปลิ่ม หรือตัวอักษรคูนิฟอร์ม ขึ้นใช้เมื่อประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสตร์ศักราช และสิ้นสุดลงเมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลาย เพราะถูกรุกรานโดยพวกอนารยชนเผ่าเยอรมัน
.......สุเมเรียน เป็นชนกลุ่มแรกที่เข้ามาสร้างอารยธรรมในดินแดนนี้
..............ได้จัดตั้งอาณาจักรบาบิโลเนีย ผลงานสำคัญได้แก่ ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี
..............อัสซีเรียเป็นนักรบที่กล้าหาญ ผลงานที่สำคัญ ได้แก่ การสลักภาพนูนต่ำ มีการรวบรวมที่ห้องสมุดนิเนเวห์
..............ชาวคาลเดียมีความรู้ด้านดาราศาสตร์ นำความรู้ดาราศาสตร์มาทำนายชะตาชีวิต

.......2. อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์ หรืออารยธรรมอียิปต์โบราณ
.......การประดิษฐ์อักษรภาพที่เรียกว่า “เฮียโรกลิฟิก”   ด้านสถาปัตยกรรม มีการสร้าง พีระมิด เป็นสุสานฝังพระศพของ ฟาโรห์ รู้จักการเก็บรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยที่เรียกว่า “มัมมี่”  

.......3. อารยธรรมกรีก อารยธรรมกรีกเรียกว่า เป็นอารยธรรมในยุคคลาสสิก
..............งานประติมากรรม เน้นแสดงสัดส่วนสรีระของมนุษย์
..............วรรณคดี เป็นความเชื่อในเรื่องของศาสนา การเคารพบูขาเทพเจ้า

.......4. อารยธรรมโรมัน
.......มีชาวโรมันกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า“ลาติน ”ได้สร้างกรุงโรมขึ้นและทำสงครามขับไล่ชนพื้นเมืองชาวอีทรัสกัน ออกไปได้สำเร็จ โดยความเจริญทางอารยธรรม
..............ชาวโรมันเน้นให้มนุษย์รับผิดชอบต่อรัฐ
..............กฎหมายสิบสองโต๊ะ
..............สถาปัตยกรรม สร้างอาคารต่างๆ เพื่อประโยชน์ใช้สอยของสาธารณชน
..............ประติมากรรม สะท้อนบุคลิกภาพมนุษย์สมจริงตามธรรมชาติ


ยุคกลาง
.......1. การเมือง การปกครอง เป็นยุคมืด ปกครองระบบฟิวดัลหรือศักดินาสวามิภักดิ์ เป็นยุคแห่งความแตกแยกทางสังคม
.......2. ศิลปวัฒนธรรม ได้รับอิทธิพลจากหลักคำสอนศาสนาคริสต์
.......3. การศึกษา มีการตั้งมหาวิทยาลัยโบโลญญ่าในอิตาลี
.......4. วรรณกรรม เป็นประเภทเพ้อฝัน

ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการในยุโรป
.......1. ยุคของมนุษย์นิยมที่เน้นความงดงามสรีระร่างกาย
.......2. สนใจด้านความเป็นอยู่ในปัจจุบันมากกว่าในภพหน้า
.......3. มีบทบาทของชนชั้นกลางมากขึ้น

ยุโรปสมัยใหม่

.......ให้ความสำคัญด้านวัตถุเพื่อสร้างความมั่นคงให้ตนเอง การค้าขายมีลักษณะดังนี้
.......1. สำรวจและค้นพบดินแดนใหม่ ค้นพบทวีปอเมริกา เป็นจุดเริ่มต้น
.......2. ปฏิวัติวิทยาศาสตร์
.......3. เกิดของยุคภูมิธรรม เป็นยุคที่ประชาชนเรียกร้องความเท่าเทียมกัน
.......4. ปฏิวัติอุตสาหกรรม หันมาใช้เครื่องจักรกล
.......5. การล่าอาณานิคม เสาะแสวงหาแหล่งวัตถุดิบเพื่อมาผลิตสินค้า

6.ยุคก่อนประวัติศาสตร์

........1. ยุคหินเก่า ประมาณ 500,000 ปีล่วงมาแล้ว มนุษย์ในยุคนี้เริ่มทำเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยหินอย่างง่ายก่อน เมื่อเวลาผ่านไปก็สามารถดัดแปลงให้เหมาะสมกับการใช้งาน เครื่องมือหิน มนุษย์ใช้วัสดุจำพวกหินไฟ

........2. ยุคหินกลาง ประมาณ 10,000-5,000 ปีล่วงมาแล้วมนุษย์ในช่วงเวลานี้เริ่มมีการนำวัสดุธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ เช่น ทำตะกร้าสาน ทำรถลาก และเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหินก็มีความประณีตมากขึ้น ตลอดจนรู้จักนำสุนัขมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง

........3. ยุคหินใหม่ ประมาณ 6,000-4,000 ปีล่วงมาแล้ว ยุคนี้มีพัฒนาการทำเครื่องมืออย่างประณีตมากขึ้น โดยการฝนให้เป็นรูปทรงต่างๆ

........4. ยุคโลหะ ยุคที่นำโลหะมาประยุกต์ใช้ในชีวิต แบ่งออกเป็น 2 ยุคย่อยคือ ยุคสำริด และยุคเหล็ก

................4.1 ยุคสำริด สำริดเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก กรรมวิธีการทำสำริดค่อนข้างยุ่งยาก ตั้งแต่การหาแหล่งแร่ การเตรียม การถลุงแร่ และการผสมแร่ในเบ้าหลอม จากนั้นจึงเป็นการขึ้นรูปทำเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยดารตีหรือการหล่อในแม่พิมพ์หินทราย หรือแม่พิมพ์ดินเผา

................4.2 ยุคเหล็ก ยุคเหล็กมีความแตกต่างจากยุคสำริดหลายประการ คือ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเหล็กทำให้เกิดการเพิ่มผลผลิต การผลิตเหล็กทำให้กองทัพมีอาวุธที่แข็งแกร่ง นำไปสู่พัฒนาการทางสังคมจนกลายเป็นรัฐที่มีกำลังทหารที่แข็งแกร่งเข้ายึดครองสังคมอื่นๆ ขยายเป็นอาณาจักรในเวลาต่อมา

สมัยประวัติศาสตร์

........สมัยประวัติศาสตร์เป็นสมัยที่ปรากฏหลักฐานลายลักษณ์อักษร  หลักฐานสมัยประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนไทย  คือ  ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช โดยสมัยประวัติศาสตร์สามารถแบ่งได้ตามช่วงเวลาได้ดังนี้

........1. สมัยโบราณ เป็นประวัติศาสตร์ของผู้คนที่พัฒนาชุมชน เป็นเมืองในดินแดนต่างๆ คือ ดินแดนลุ่มน้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำไทกรีส ยูเฟรตีส

........2. สมัยกลาง เริ่มต้นภายหลังจากที่อาณาจักรโรมันล่มสลาย ศาสนาคริสต์เริ่มมีบทบาทและอำนาจ

........3. สมัยใหม่ เริ่มรวมคริสทศตวรรษที่ 15 ซึ่งมีการฟื้นฟูศิลปกรีก-โรมัน และมีการปฏิวัติวิทยาศาสตร์

........4. สมัยปัจจุบัน เริ่มจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดความบานปลายจึงก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2

5.ความสัมพันธ์ของยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สากล


.......การศึกษาของประวัติศาสตร์สากล แบ่งออกเป็น 4 ยุคสมัย คือ
.......1. ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เป็นงานเขียนทางประวัติศาสตร์ในยุคกรีกและยุคโรมัน ในยุคกรีกเป็นงานเขียนที่เน้นให้ความสำคัญกับมนุษย์มากขึ้น ภาพแนวคิดแบบมนุษย์นิยม ซึ่งเป็นการเขียนอย่างมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือ จะเน้นบทบาทของมนุษย์ ระบุเวลา และสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์ ในยุคโรมันการเขียนประวัติศาสตร์จะอยู่ในรูปของการบันทึกต่างๆ ซึ่งใช้เป็นหลักฐานที่สำคัญในการศึกษาความเจริญรุ่งเรืองของโรมัน

.......2. ประวัติศาสตร์สมัยกลาง มีลักษณะที่สำคัญ คือ เป็นงานเขียน ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคริสตจักรซึ่งคือหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ ทั้งนี้เพราะเป็นยุคมืด งานเขียนในยุคนี้จะเป็นงานเขียนเกี่ยวกับการรับใช้พระเจ้าโดยเน้นให้มนุษย์มีความเคารพยำเกรงในพระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดชีวิต ในยุคนี้บทบาทของประชาชนถูกจำกัด

.......3. ประวัติศาสตร์สมัยฟื้นฟูวิทยาการ เป็นงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่สลัดจากการครอบงำของศาสนาคริสต์อย่างสิ้นเชิง หันมาให้ความสำคัญกับมนุษย์นิยมอีกครั้ง โดยหันไปศึกษาอารยธรรมกรีก และโรมันเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน เป็นงานเขียนที่เน้นศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการดำเนินชีวิตประจำวัน

.......4. ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เป็นงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ การศึกษาจะมีความคล้ายคลึงกับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ คือ มีขั้นตอนการศึกษาที่ชัดเจน มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ จะทำอย่างมีเหตุมีผล ทำให้ได้รับความน่าเชื่อถือที่สุดในปัจจุบัน

ความสัมพันธ์ของยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย

.......ความสัมพันธ์ระหว่าง ประวัติศาสตร์สุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี รัตนโกสินทร์ แบ่งออกได้ดังนี้

1. ด้านการเมืองการปกครองของไทยมีลักษณะดังนี้

..............1.อาณาจักรสุโขทัยพระมหากษัตริย์จะใช้หลักธรรมของพระพุทธศาสนา ในการปกครองประเทศ คือ ทศพิธราชธรรม ราชจรรยาวัตร และจักรวรรดิวัตร
..............2.มีการปกครองประเทศโดยพระมหากษัตริย์ แม้จะมีพระราชฐานะแตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่ยังงทำหน้าที่ดูแลราษฎรของพระองค์ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีตลอดมา
..............3หลักกฎหมายรับอิทธิพลมาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ของอินเดียเหมือนกัน โดยถึงแม้จะมีชื่อแตกต่างกันไป เช่น กฎหมายสมัยสุโขทัย กฎหมายสมัยกรุงศรีอยุธยา คือ กฎหมายราชศาสตร์ กฎหมายของรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือ กฎหมายตราสามดวง และ กฎหมายในปัจจุบัน คือ กฎหมายรัฐธรรมนูญ ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลมาจากคำสอนของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ทั้งสิ้น

2. ทางด้านเศรษฐกิจของไทยมีลักษณะดังนี้

..............1.การใช้เงินในการติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน
..............2.ประเทศคู่ค้าของประเทศไทยตั้งแต่โบราณ มีประเทศคู่ค้าที่สำคัญตลอดมา คือ ประเทศจีน
..............3.ประเทศของสินค้าเพื่อการส่งออกของไทยตั้งแต่สุโขทัยจนถึงรัตนโกสินทร์ สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยจะเป็นสินค้าประเภทหัตถกรรมมากกว่าสิ่งอื่น

3. ทางด้านสังคมวัฒนธรรมของไทยมีลักษณะดังนี้

..............1.การมีชนชั้น สามารถแบ่งโดยกว้างๆ ออกเป็น 2 ชนชั้น คือผู้ปกครองหรือพ่อขุน และผู้ถูกปกครองคือไพร่ฟ้าในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี ถึงรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีการแบ่งชนชั้นของประชาชนอย่างชัดเจนโดยแบ่งเป็นลำดับชั้นดังนี้
.....................1.ชนชั้นกษัตริย์
.....................2.ชนชั้นราชวงศ์หรือเจ้านาย
.....................3.ชนชั้นขุนนาง
.....................4.ชนชั้นพระสงฆ์
.....................5.ชนชั้นไพร่
.....................6.ชนชั้นทาส
.......และได้มีการประกาศยกเลิกชนชั้นต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

..............2.ความศรัทธาในพุทธศาสนาของประชาชน โดยศาสนาพุทธประดิษฐานเป็นศาสนาประจำชาติไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

..............3.การใช้ภาษาไทยในการติดต่อสื่อสารกัน ซึ่งประดิษฐ์โดยพ่อขุนรามคำแหง มีการปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นถือเป็นความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และรัตนโกสินทร์

4.หลักฐานและองค์ความรู้ประวัติศาสตร์ไทย

.......การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยต้องอาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ 4 ลักษณะ
.......1. จากจารึก หมายถึง บันทึกหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของมนุษย์เพื่ออธิบายเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม โดยมีจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้รับทราบลักษณะสำคัญจารึก มีดังนี้ มีการกำหนดสถานที่ เวลา และผู้จัดทำอย่างชัดเจน เป็นซากโบราณที่เข้าใจยาก ต้องมีการอ่านและแปลโดยผู้เชี่ยวชาญจึงสามารถเข้าใจได้ และวัสดุที่ใช้ในการจารึกส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์แตกหัก

.......2. ตำนาน คือ เรื่องเล่าด้วยวาจาสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณผ่านมาหลายชั่วอายุคน ต่อมาภายหลังจึงมีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เรื่องราวในตำนานอาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้เพราะการบอกเล่าต่อกันมาอาจทำให้เนื้อหาผิดเพี้ยนไปตามอารมณ์ของผู้เล่า ลักษณะตำนานที่สำคัญมีดังนี้
..............1. เป็นเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา และความเชื่อของคนในท้องถิ่น เรื่องราวจะแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นนั้นๆ
..............2. ตำนานจะไม่ให้ความสำคัญในเรื่องกาลเวลา จึงต้องระมัดระวังในการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเราไม่ทราบว่าเหตุการเกิดเมื่อใด
..............3. เนื้อหาสาระของตำนานไทยจะเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติและการสร้างบ้านเมืองในสมัยโบราณไทย
..............4.คุณค่าของตำนานต่อการศึกษาประวัติศาสตร์มีน้อย เนื่องจากตำนานจะผ่านวิธีบอกเล่า ซึ่งเกิดความผิดเพี้ยนของเนื้อหา จึงไม่มีความน่าเชื่อถือมากนัก

.......3. พงศาวดาร หมายถึง การบันทึกเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตภายใต้การอุปถัมภ์ของ ราชสำนัก ดังนั้นเนื้อหาพงศาวดาร จึงมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรและพระมหากษํตริย์ ลักษณะที่สำคัญของพงศาวดารคือการเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมืองและพระมหากษัตริย์เท่านั้น ไม่ให้ความสำคัญกับประชาชนโดยทั่วไป แต่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาทางประวัติศาสตร์อย่างมาก

.......4. ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ การศึกษาสมัยใหม่เริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เรียกว่า วิธีการทางประวัติศาสตร์ เน้นวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างมีขั้นตอนที่น่าเชื่อถือมีเหตุผล